เมื่อเกษตรกรเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ชีวภัณฑ์” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการเกษตรไทย
ทั้งในโครงการเกษตรอินทรีย์ มาตรฐาน GAP หรือแม้แต่เกษตรกรทั่วไปที่อยากลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้สารเคมี
แต่คำถามที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือ —“ชีวภัณฑ์ดีจริงไหม หรือเป็นแค่ของใหม่ที่มาไวไปไว?” เพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้อง มาดูกันว่า “ชีวภัณฑ์” คืออะไร ดีจริงแค่ไหน และใช้ยังไงให้เห็นผลจริงครับ
ชีวภัณฑ์คืออะไร คำว่า “ชีวภัณฑ์” (Biological Control Agents หรือ Bioproducts) หมายถึง
ผลิตภัณฑ์ที่มีสิ่งมีชีวิตหรือสารจากสิ่งมีชีวิต ใช้เพื่อควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช หรือช่วยปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ขึ้น
ตัวอย่างเช่น Trichoderma spp. เชื้อราดีที่ยับยั้งเชื้อราสาเหตุโรครากเน่า โคนเน่า Bacillus thuringiensis (Bt) ใช้ควบคุมหนอนผีเสื้อ Beauveria และ Metarhizium spp. ใช้ควบคุมเพลี้ยและแมลงศัตรูพืช Bacillus subtilis, Pseudomonas spp. ควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในพืช จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต และตรึงไนโตรเจน ช่วยให้ดินมีสารอาหารที่พืชดูดซึมได้ง่ายขึ้น
พูดง่าย ๆ คือ “ชีวภัณฑ์คือการใช้สิ่งมีชีวิตมาช่วยสิ่งมีชีวิต โดยไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม”
ข้อดีที่พิสูจน์แล้ว
1. ปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารพิษตกค้างในผลผลิต ดิน และแหล่งน้ำ
2. ลดการดื้อยาและดื้อสารเคมีของแมลง เพราะจุลินทรีย์มีหลายกลไกในการควบคุมศัตรูพืช
3. ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศในแปลง เมื่อดินมีชีวิต ดินจะร่วนซุยและอุ้มน้ำได้ดีขึ้น
4. เหมาะกับเกษตรอินทรีย์และมาตรฐาน GAP ใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการรับรองคุณภาพได้
5. ลดต้นทุนระยะยาว แม้ผลอาจช้ากว่าเคมี แต่เมื่อใช้ต่อเนื่อง พืชแข็งแรง ดินดีขึ้น ต้นทุนลดลงจริง
ข้อจำกัดที่ต้องรู้
1. ต้องใช้ให้ถูกเวลาและถูกวิธี เพราะจุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิต หากโดนแดดจัดหรืออุณหภูมิสูงเกินไป จะสูญเสียประสิทธิภาพ
2. เห็นผลช้ากว่าสารเคมี ชีวภัณฑ์ทำงานแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ต่อเนื่อง
3. คุณภาพผลิตภัณฑ์ไม่เท่ากันทุกยี่ห้อ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการขึ้นทะเบียนตาม พรบ.วัตถุอันตราย หรือ พรบ.ปุ๋ย จากกรมวิชาการเกษตร
4. เก็บรักษาให้ถูกต้อง ห้ามเก็บในที่ร้อนหรือโดนแสงแดดโดยตรง
5. ไม่ควรผสมกับสารเคมีแรง เพราะจะฆ่าจุลินทรีย์ในทันที
หลักฐานจากงานวิจัยและภาครัฐ
• กรมวิชาการเกษตร (2562) พบว่า Trichoderma harzianum และ T. viride สำหรับควบคุมโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในดิน เช่น โรคเหี่ยว (Fusarium oxysporum) และโรครากเน่า (Sclerotium rolfsii) พบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้กว่า 60–80%
• กรมวิชาการเกษตร (2564) พบว่าชีวภัณฑ์ Bacillus subtilis สายพันธุ์ BS-DOA24 สามารถลดโรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่า 70%
• มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU) พบว่า Bacillus subtilis ช่วยลดโรคใบไหม้ข้าวได้ถึง 60%
• FAO (2022) ยืนยันว่า การใช้ชีวภัณฑ์สามารถลดการใช้สารเคมีในฟาร์มได้เฉลี่ย 30–40%
• สวก. และ สวทช. กำลังพัฒนา “ชีวภัณฑ์ต้นแบบ” เพื่อใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์เชิงพาณิชย์
ใช้อย่างไรให้ได้ผลจริง
1. เลือกเชื้อให้ “ตรงกับโรคหรือแมลงเป้าหมาย”
2. ผสมในน้ำสะอาดที่มีค่า pH 6.5–7.0
3. ฉีดพ่นช่วงเช้า (แดดอ่อน) หรือช่วงเย็น (อุณหภูมิต่ำ)
4. ใช้ต่อเนื่อง 2–3 ครั้ง ห่างกัน 7–10 วัน
5. จัดการดิน น้ำ และปุ๋ยให้เหมาะสมร่วมด้วย
ชีวภัณฑ์ไม่ใช่ของวิเศษที่เห็นผลในคืนเดียว แต่มันคือ “เครื่องมือของเกษตรอัจฉริยะที่เคารพธรรมชาติ” ถ้าใช้ให้ถูกต้อง มันจะช่วยลดการพึ่งพาสารเคมี ฟื้นฟูดิน และสร้างความยั่งยืนได้จริงในระยะยาว เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองจาก “หวังผลเร็ว” เป็น “ลงทุนในระบบนิเวศของฟาร์ม” เมื่อดินกลับมามีชีวิต พืชจะแข็งแรงขึ้นเอง และผลผลิตก็จะยั่งยืนกว่าเดิมแน่นอนครับ
อ้างอิง:
• กรมวิชาการเกษตร. (2562). รายงานผลการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เชื้อราไตรโคเดอร์มาเพื่อควบคุมโรคพืชที่สำคัญของประเทศไทย. สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
• กรมวิชาการเกษตร. (2564). รายงานผลการดำเนินงานเทคโนโลยีชีวภัณฑ์ BS-DOA24 เพื่อการจัดการโรคเหี่ยวของพืชเศรษฐกิจ. สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
• มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2565). งานวิจัยการใช้เชื้อ Bacillus subtilis ควบคุมโรคใบไหม้ข้าว.
• FAO. (2022). Biological control and sustainable agriculture.
• สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และ สวทช. โครงการพัฒนาชีวภัณฑ์ต้นแบบเพื่อการใช้เชิงพาณิชย์





