หากพูดถึง “ลูกเนียง” แล้วหลาย ๆ คนก็คงจะต้องนึกถึงภาคใต้ของไทย เพราะลูกเนียงนั้นมักจะขึ้นในเขตร้อนชื้นแถบตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยด้วย ทั้งยังมีในประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย โดยในประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคใต้มักจะใช้ลูกเนียงในการเป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร ไม่ว่าจะใช้ปรุงรสให้อร่อยกล่อมกลมขึ้น หรือใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงกับน้ำพริก แกงส้ม แกงมะเขือ แกงพริก หรือผัดเผ็ด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะรับประทานกับอาหารรสจัด แต่ไม่เพียงใช้รับประทานคู่กับอาหารพื้นบ้านเท่านั้น ยังสามารถนำลูกเนียงมาทำเป็นของหวานได้อีกด้วย

“ลูกเนียง”(Djenkol Bean) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีลักษณะเป็นเมล็ดกลมแบน ผิวมัน มีกลิ่นฉุนและรสชาติมันปนฝาดเล็กน้อย มีประโยชน์มากมายเทียบเท่ากับสมุนไพรบางชนิดเลยก็ว่าได้ โดยในลูกเนียงนั้นประกอบไปด้วย โปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้ และวิตามินบี3 ที่ช่วยในการบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังมีแคลเซียมและธาตุเหล็กที่บำรุงกระดูกและฟัน รวมถึงวิตามินซีอีกด้วย ส่วนของเปลือกหุ้มเมล็ด สามารถใช้รักษาโรคเบาหวาน และใบช่วยรักษาโรคผิวหนัง

วิธีการรับประทาน
- ลูกเนียงสด: นิยมใช้เป็นผักเหนาะ (ผักเคียง) รับประทานคู่กับขนมจีน แกงส้ม หรือน้ำพริก
- ลูกเนียงเพาะ: นำไปเพาะในทรายให้แตกหน่อเล็กน้อย จะมีรสชาติหวานมันและกลิ่นฉุนน้อยลง
- ลูกเนียงต้ม: ต้มให้สุกรับประทานเป็นของหวานคู่กับมะพร้าวขูดและน้ำตาล
ในปัจจุบันมีการเพาะปลูกลูกเนียงมากขึ้นโดยเฉพาะทางภาคใต้จนเป็นผักที่อยู่คู่กับภาคใต้มาจนถึงปัจจุบัน ต้นลูกเนียงนั้นจะมีลักษณะเป็นไม้พุ่มไม่สูงมากเป็นพืชตระกูลเดียวกับถั่ว ใบมีลักษณะคล้ายขนนกปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้น ลำต้นมีสีเทาอมน้ำตาล มีดอกสีขาวอยู่รวมกันเป็นช่อ ผลลูกเนียงจะมีลักษณะเป็นฝักและขึ้นเป็นเกลียวโดยฝักดิบหรืออ่อนนั้นจะมีสีเขียวส่วนฝักแก่จะมีสีน้ำตาล โดยลูกเนียงนั้นยังมีหลากหลายพันธุ์อีกด้วย เกษตรกรมักจะเลือกพันธุ์ที่หาได้ง่ายในพื้นที่มาเพาะปลูก

ลูกเนียงนั้นสามารถปลูกได้ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดโดยเริ่มจากการนำดินร่วนหรือดินร่วนผสมดินทรายก็ได้ มาใส่ลงในถุงเพาะลูกเนียง ก่อนจะนำเมล็ดใส่เข้าไปในถุงโดยใช้เมล็ดประมาณ 4-5 เมล็ดต่อหนึ่งถุง จากนั้นก็รอให้เมล็ดโตงอกกิ่งก้านและนำไปปลูกลงแปลงต่อได้ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เพียงแค่รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นเมื่อย้ายลงแปลงปลูกจะต้องเตรียมดินให้พร้อม และปลูกลงแปลงให้มีระยะห่างระหว่างแถวและระหว่างต้นอย่างพอเหมาะ เพียงเท่านี้ก็สามารถรอเก็บผลผลิตได้เลย

ข้อควรระวังในการบริโภค
ลูกเนียงมีสาร กรดเจงโคลิก (Jenkolic acid) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเป็นพิษที่เรียกว่า “โรคลูกเนียง” หรือ “อาการเนียง”
- อาการ: ปวดท้องรุนแรง ปวดบั้นเอว ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด หรือไตวายเฉียบพลันในรายที่รุนแรง
2.การป้องกัน
- ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไป (โดยเฉพาะลูกเนียงดิบ)
- การนำไปทำให้สุก (ต้มหรือเผา) หรือการเพาะให้งอก จะช่วยลดปริมาณกรดพิษลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถกำจัดออกได้ทั้งหมด
- ดื่มน้ำตามมากๆ หลังรับประทานเพื่อช่วยเจือจางกรด
3.กลุ่มเสี่ยง: เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคไตไม่ควรรับประทาน
หากมีอาการผิดปกติหลังรับประทาน เช่น ปัสสาวะไม่ออก หรือปวดท้องอย่างรุนแรง ควรไปพบแพทย์ทันที




