“เห็ดไค” เป็นเห็ดป่าที่รับประทานได้ มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อตามภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทย

ข้อมูลทั่วไป
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Russula delica Fr.
- ชื่อเรียกอื่น: ในภาคกลางอาจเรียกว่า เห็ดหอม ภาคอีสานเรียกว่า เห็ดตะไคล หรือ เห็ดตะไค และภาคเหนือเรียกว่า เห็ดหล่ม หรือ เห็ดหอมดิน
การใช้ประโยชน์
- การประกอบอาหาร: เห็ดไคนิยมนำมาเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหารหลายชนิด เช่น แกงเห็ด, แจ่วเห็ด, ยำเห็ด, ซุปเห็ด และเห็ดต้มจิ้มน้ำพริกข่า เนื่องจากมีกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
- ความเป็นของหายาก: เนื่องจากเห็ดชนิดนี้จะเติบโตตามธรรมชาติเฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ทำให้เป็นเห็ดที่หาได้ยากและมีราคาค่อนข้างสูงในตลาด แต่ถึงแม้จะแพงแค่ไหนตลาดก็ยังมีความต้องการเป็นอย่างยิ่ง

เห็ดไค จะมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ใกล้เคียงกับเห็ดก่อ เป็นเห็ดที่เจริญอยู่บริเวณรากหาอาหารของต้นไม้อื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ต้นยางนาและต้นพะยอม เป็นต้น ซึ่งเป็นการอยู่ร่วมกันของธรรมชาติโดยเอื้อประโยชน์ต่อกันหรือพึ่งพาอาศัยกันและกัน เห็ดได้รับอาหารจากรากของต้นไม้ ในขณะที่เห็ดช่วยให้ต้นไม้ได้รับธาตุอาหารและน้ำ ทำให้ระบบรากมีความทนทานและแข็งแรงมากขึ้น และเห็ดยังช่วยย่อยธาตุอาหารในดินและดูดซับมาให้ต้นไม้นำมาใช้ประโยชน์ต่อไป เป็นระบบนิเวศที่เสริมสร้างประโยชน์ต่อกันอย่างมาก

ดอกของเห็ดไค จะมีสีขาวขุ่นหรืออาจจะมีสีออกไปในเฉดสีเขียวหรือเหลืองหม่นบ้าง หมวกเห็ดมีผิวที่เรียบ ขนาดของดอกแตกต่างกันไปตั้งแต่ขนาด 3 เซนติเมตรไปจนถึงขนาด 15 เซนติเมตร บริเวณกลางหมวกจะมีรอยบุ๋มสีครีมหรือกากีอ่อน เนื้อหมวกหนา ด้านใต้หมวกมีครีบบางๆ เรียงตัวกระจายออกจากก้านดอกเป็นรัศมี ก้านดอกหนาและกลม ผิวเรียบ สีขาวและเกิดการเรืองแสงเมื่อถูกแสงไฟกระทบในยามค่ำคืน ดอกเห็ดสามารถขึ้นเป็นดอกเดี่ยวหรือขึ้นเป็นกลุ่มเล็กๆ 3-4 ดอก เห็ดไคที่ได้มีชื่อเสียงเรื่องความหอมอย่างมาก คือเห็ดไคที่มีสีของดอกเห็ดเป็นสีเขียวอ่อน ว่ากันว่าเมื่อนำมาย่างบนไฟแล้วกลิ่นจะหอมชวนรับประทานและมีรสชาติดีอีกด้วย

ปัจจุบันได้มีการเพาะเลี้ยงเห็ดไคกันขึ้น เพื่อให้เกิดผลผลิตเพียงพอกับตลาด ดังนั้นจึงมี เกษตรกรหลายคนที่ปลูกยางนากันไว้อยู่แล้ว หันไปหาเชื้อเห็ดชนิดนี้มาเพาะเลี้ยงเพื่อประกอบเป็นอาชีพเสริม ซึ่งเป็นการทำการเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่หลากหลาย สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในทุกฤดู เพราะการเพาะเลี้ยงพันธุ์พืชที่หลากหลายนั้นก็ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนประการหนึ่งด้วย




