พริกขี้หนู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Capsicum annuum) อยู่ในวงศ์ Solanaceae มีลักษณะเป็นไม้ต้น ความสูง 30-120 cm ใบมีลักษณะแบนและเรียบมัน ผลมีขนาดเล็กเรียวยาวประมาณ 2-3 ซ.ม. เมื่อดิบผลมีสีเขียวเข้ม เมื่อสุกจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง มีรสเผ็ดจัด นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารไทยหลากหลายชนิด ชื่อในภาษาอังกฤษมีหลายชื่อ ได้แก่ Chilli Padi, Bird’s Eye Chilli, Bird Chilli, Thai pepper, พริกขี้นก
ผลมีรสเผ็ดร้อน ใช้ขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืด ผลดองสุราใช้ทาแก้ฟกช้ำดำเขียว ต้นมีรสเผ็ด ใช้ขับลม แก้กษัย รากใช้ฝนกับมะนาวแทรกเกลือ เป็นยากวาดคอ ใบใช้แก้หวัด ตำใบสดผสมกับดินสอพองพอกขมับแก้ปวดศีรษะได้
- การปลูก : วิธีปลูกพริกขี้หนู จะปลูกจากเมล็ด ต้องนำเมล็ดแช่น้ำก่อน 1 คืน แล้วนำผ้ามาห่อไว้ในที่ร่ม 2-3 วัน เมล็ดจะเริ่มงอกแล้วนำเมล็ดไปหว่านในแปลงเพาะกล้า เมื่อต้นสูงประมาณ 20 เซนติเมตร ถอนแล้วนำไปปลูกในแปลง ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 40-50 เซนติเมตร ปลูกแบบยกร่องแล้วปล่อยน้ำไหล หรือปลูกลงแปลง ให้น้ำระบบสปริงเกลอร์ หรือระบบน้ำหยด ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เราปลูก และจะเริ่มให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนเป็นหลักหลังจากย้ายปลูก 2-3 สัปดาห์ และเมื่อต้นพริกเริ่มออกดอกจะให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เพื่อบำรุงต้น ดอก และผล
- สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม : พริกเป็นพืชที่ทนร้อนได้ดี สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ชอบแดดจัด เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมที่สุดคือร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขังหรือแฉะ อุณหภูมิ 24-29 องศาเซลเซียส ในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ จะเป็นช่วงที่พริกขี้หนูให้ผลผลิตดี
- การเก็บเกี่ยว : หลังจากปลูก 60-70 วัน พริกขี้หนูจะเริ่มออกดอก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจาก 90 วันขึ้นไป และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอดอีก 5-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแล ผลของพริกขี้หนูจะชี้ขึ้นในช่วงแรกและทิ่มลงเมื่อผลเริ่มสุกเป็นสีแดง
- การขยายพันธุ์ : พริกขี้หนูจะขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
สรรพคุณ
1.ช่วยลดน้ำหนัก
การทานพริกขี้หนูสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะในพริกขี้หนูมีสาร thermogenic ที่ทำให้เกิดความร้อนภายในร่างกาย ทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ในพริกยังมีสารแอสคอร์บิก ที่ช่วยเร่งให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันไปเป็นพลังงานได้อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นก็ค้นพบว่า การทานพริก 10 กรัม จะทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มยาวนานมากถึง 30 นาที สำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักแนะนำให้ทานพริกสกัด โดยในพริกยังมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้เป็นอย่างดี และยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่ายให้ทำงานอย่างเป็นปกติอีกด้วย
2. ช่วยให้อารมณ์สดใส
เชื่อหรือไม่ว่าการทานพริกขี้หนูนั้น จะทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะในพริกมีสารแคปไซซินที่จะช่วยกระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สารชนิดนี้มีคุณสมบัติหลายประการต่อร่างกาย โดยจะช่วยลดอาการเจ็บปวด มีส่วนช่วยในการลดฮอร์โมนความเครียด ทำให้อารมณ์สดใส รู้สึกสดชื่น ช่วยลดระดับความดันโลหิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้มีความสุขมากขึ้น
3. ทำให้เจริญอาหาร
สารเอ็นดอร์ฟินนอกจากจะช่วยทำให้อารมณ์สดใสขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยทำให้อาหารอร่อยมากยิ่งขึ้น พริกขี้หนูยังทำให้ต่อมน้ำลายทำงานมากขึ้น ช่วยกระตุ้นปลายประสาท ทำให้สมองส่วนกลางรับรู้ความอยากทานอาหาร จึงทำให้หลายคนชอบทานเผ็ด เพราะยิ่งทานอาหารที่มีรสเผ็ดก็จะยิ่งทำให้ทานอาหารอร่อยยิ่งขึ้น
4. ลดอาการปวด
อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าสารแคปไซซินที่อยู่ในพริกขี้หนูจะช่วยกระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดโดยธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดน้อยลง ในสมัยโบราณได้มีการนำพริกขี้หนูมาใช้ทำลูกประคบ ใช้ทำน้ำมันแก้ปวดเมื่อยตามข้อ ในปัจจุบันได้มีการสกัดสารแคปไซซินออกมา โดยนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้งและเจล เพื่อใช้ทาบรรเทาอาการปวดบวมตามส่วนต่าง ๆ ของผิวหนัง ช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น เข่าอักเสบ บรรเทาอาการปวดข้อได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามตัวลงได้อีกด้วย
5. บำรุงสายตา
ในพริกขี้หนูยังมีปริมาณวิตามินเอและวิตามินซีอยู่สูง โดยพริกขี้หนูมีสารเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงและป้องกันจอประสาทตาเสื่อม พริกจึงจัดว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาอย่างดี หากอยากได้รับวิตามินเอจากพริก ควรทานสด ๆ โดยไม่ต้องมีการปรุงสุก
6. ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
เวลาที่เราทานอาหารเผ็ดเราจะสังเกตได้ว่า จะมีอาการน้ำมูก น้ำตาไหล นั่นเป็นเพราะความเผ็ดของพริกขี้หนูและสารก่อความร้อนที่อยู่ในพริกขี้หนู จะช่วยลดปริมาณน้ำมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น ช่วยลดอาการคัดจมูก บรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะ ช่วยขับเสมหะ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไซนัส ภูมิแพ้ หอบหืด หลอดลมอักเสบ ให้รับประทานพริกอย่างเป็นประจำ แต่อย่าทานเผ็ดมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้