เรื่องเล่าชีวภัณฑ์ กับ ดร.เล็ก ตอนที่ 3 “อนาคตชีวภัณฑ์ไทย : จากห้องแล็บ…สู่ไร่นา”

ในวันที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม สารเคมีตกค้าง และดินเสื่อม

คุณภาพ “ชีวภัณฑ์” ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือทางเกษตรอีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็น ยุทธศาสตร์สำคัญของเกษตรยั่งยืนระดับโลก

หลายประเทศเริ่มปรับนโยบายให้หันมาใช้ชีวภัณฑ์แทนสารเคมี เช่น ยุโรปตั้งเป้าลดการใช้สารเคมีลง 50% ภายในปี 2030 ญี่ปุ่นประกาศใช้ biological solutions ในทุกระบบ GAP

ส่วนประเทศไทย…เรากำลังเริ่มเดินบนเส้นทางเดียวกันครับ

ชีวภัณฑ์ไทยวันนี้…ไปถึงไหนแล้ว?

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มี “ฐานจุลินทรีย์เกษตร” ที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ตั้งแต่เชื้อรา Trichoderma ไปจนถึงแบคทีเรีย Bacillus และ Pseudomonas

หลายหน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัยได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เช่น

• กรมวิชาการเกษตร (DOA) มีห้องปฏิบัติการผลิตและควบคุมคุณภาพชีวภัณฑ์กว่า 20 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งออก “ทะเบียนรับรองชีวภัณฑ์” เพื่อคัดกรองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

• สวทช. (NSTDA) และ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา “ชีวภัณฑ์ต้นแบบ” เพื่อเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เช่น โครงการ “BioAgriTech Platform” ที่รวมข้อมูลจุลินทรีย์ไทยไว้กว่า 400 สายพันธุ์

• มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, และ มข. พัฒนาเทคโนโลยีการขยายเชื้อ การเคลือบสปอร์ และการนำจุลินทรีย์ไปใช้ในรูปแบบใหม่ เช่น เม็ดชีวภัณฑ์ (granule) และชีวภัณฑ์เคลือบเมล็ด

ทั้งหมดนี้คือ “ก้าวย่างที่มั่นคง” จากห้องแล็บ…สู่ไร่นาไทย

ปัญหาและอุปสรรคที่ยังต้องข้ามให้ได้

แม้เราจะมีองค์ความรู้มาก แต่ยังมีช่องว่างหลายด้านที่ต้องเร่งพัฒนา ได้แก่

• มาตรฐานผลิตภัณฑ์ยังไม่ชัดเจนพอ

หลายยี่ห้อในท้องตลาดยังไม่มีการตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

ระบบการรับรองยังใช้เวลานาน

จากการยื่นขอจดทะเบียนถึงขึ้นทะเบียน อาจใช้เวลาหลายเดือน

ขาดการเชื่อมโยงกับภาคเกษตรจริง

งานวิจัยหลายชิ้นยังอยู่ในระดับทดลอง ยังไม่ถึงมือเกษตรกรรายย่อย

• ปัญหาการตลาดและการสื่อสาร

เกษตรกรบางส่วนยังเข้าใจว่า “ชีวภัณฑ์ใช้แล้วไม่เห็นผล” เพราะไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง “สิ่งที่ขาดไม่ใช่เชื้อ…แต่คือระบบส่งต่อความรู้และความเข้าใจ”

ทิศทางใหม่ : ชีวภัณฑ์ไทยในยุคเกษตร 5.0 – 6.0 เมื่อโลกเข้าสู่เกษตรยุคใหม่ เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัลกำลังหลอมรวมกัน ชีวภัณฑ์จึงไม่ได้เป็นแค่ “ขวดเชื้อ” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ระบบข้อมูลและบริการ” ที่ครบวงจร

แนวโน้มที่เริ่มเห็นชัดในไทย ได้แก่

🔹 การพัฒนา “Smart Bioproduct” — มี QR Code ตรวจย้อนกลับถึงแหล่งผลิต

🔹 การเชื่อมโยงข้อมูล “Bio Data Platform” ของกรมวิชาการเกษตร เพื่อใช้ AI วิเคราะห์การใช้ชีวภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมแต่ละพื้นที่

🔹 การส่งเสริม “Carbon Farming” โดยใช้ชีวภัณฑ์ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุและดูดซับคาร์บอนในดิน

🔹 การพัฒนา “ชีวภัณฑ์เชิงอุตสาหกรรม (Biofactory)” เพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์ในระดับประเทศ

ทั้งหมดนี้คือภาพของ “ชีวภัณฑ์ไทยในยุคเกษตร 6.0” ที่เทคโนโลยีและธรรมชาติทำงานร่วมกันอย่างสมดุล

ก้าวต่อไปของประเทศไทย หากประเทศไทยต้องการเป็นผู้นำด้านชีวภัณฑ์ในอาเซียน

สิ่งที่ควรทำต่อคือ

1. สร้างระบบมาตรฐานกลาง (National Bioproduct Standard) เพื่อควบคุมคุณภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค

2. จัดตั้ง “ศูนย์ชีวภัณฑ์ระดับภูมิภาค” ให้บริการเชื้อดีราคาถูก พร้อมให้คำแนะนำด้านเทคนิค

3. สร้างเครือข่ายความร่วมมือรัฐ–เอกชน (PPP) เพื่อให้ชีวภัณฑ์ไม่จบแค่ในห้องทดลอง

4. ยกระดับเกษตรกรสู่ผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชุมชน ลดการพึ่งพาผลิตภัณฑ์นำเข้า และสร้างรายได้ใหม่

5. พัฒนา “เกษตรชีวภาพเชิงพาณิชย์” (Bio-commercial Agriculture) เพื่อให้ชีวภัณฑ์กลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสีเขียวของไทย

จากเชื้อเล็ก ๆ สู่วิสัยทัศน์ใหญ่ของเกษตรไทย “ชีวภัณฑ์” คือจุดเชื่อมระหว่าง วิทยาศาสตร์ – เกษตรกรรม – และสิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่แค่ขวดเชื้อที่ใช้พ่นในแปลง แต่คือ “วิธีคิดใหม่” ที่ทำให้เราทำเกษตรโดยไม่ทำร้ายธรรมชาติ และยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยได้ก้าวสู่ระบบเกษตรยุคใหม่อย่างภาคภูมิ ถ้าวันหนึ่งประเทศไทยสามารถผลิตชีวภัณฑ์คุณภาพสูง ใช้ง่าย ราคายุติธรรม และเกษตรกรเข้าใจวิธีใช้ได้จริง… วันนั้นเราจะได้เห็น “เกษตรไทยที่ยั่งยืนจริง” — จากแล็บวิทยาศาสตร์…จนถึงหัวใจของชาวนา ชาวสวนทั่วประเทศ 🌾

📍อ้างอิง:

• กรมวิชาการเกษตร. (2566). โครงการพัฒนาและส่งเสริมชีวภัณฑ์ในระบบเกษตรไทย

• สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.). (2567) รายงานความก้าวหน้าโครงการ BioAgriTech Platform

• สวทช. (2566). การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์ต้นแบบเพื่อใช้เชิงพาณิชย์

• FAO. (2022). The future of biological inputs in sustainable agriculture

564802240 1617905599529816 4494849392381440264 n 1