“ปุ๋ยชีวภาพ” หรือ” ปุ๋ยจุลินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่นำเอาจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพดิน ทั้งทางกายภาพ ชีวภาพ ชีวเคมี ช่วยให้ดินมีความเหมาะสมพร้อมสำหรับการปลูกพืช โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.กลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถสังเคราะห์สารประกอบอาหารพืชไนโตรเจนได้เอง เช่น แบคทีเรีย ไรโซเบียมที่อยู่ในปมรากพืชตระกูลถั่ว สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่อยู่ในโพรงใบของแหนแดงและยังมีจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินอย่างอิสระอีกมากที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แก่พืชได้เช่นกัน

2.กลุ่มจุลินทรีย์ที่ช่วยทำให้ธาตุอาหารพืชในดินละลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น เช่น เชื้อราไมคอร์ไรซาที่ช่วยให้ฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ในดินละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้

ประเภทของจุลินทรีย์ที่ใช้
- กลุ่มตรึงไนโตรเจน: ไรโซเบียม (ในปมรากถั่ว), สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (ในแหนแดง).
- กลุ่มช่วยละลายธาตุอาหาร: ราไมคอร์ไรซา (ละลายฟอสฟอรัส).
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
- ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 (กรมพัฒนาที่ดิน)
- PGR-1, 2, 3 (กรมวิชาการเกษตร)
ข้อดีปุ๋ยชีวภาพ
- เพิ่มธาตุอาหาร: จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนจากอากาศและช่วยละลายฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ ให้พืชใช้ได้
- ปรับปรุงดิน: ทำให้ดินร่วนซุย, อุ้มน้ำได้ดี, และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ
- ส่งเสริมการเจริญเติบโต: สร้างฮอร์โมนพืช ช่วยให้รากแข็งแรงและพืชดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น
- ลดการใช้สารเคมี: ช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม.
- ควบคุมโรคพืช: จุลินทรีย์บางชนิดช่วยยับยั้งโรคพืชในดินและสร้างภูมิคุ้มกันให้พืช
การที่ปุ๋ยเคมีราคาแพงได้เปิดโอกาสให้กับปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งเป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่มีชีวิต ช่วยในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช กลายเป็นทางเลือกให้เกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง
ประกอบกับกระแสของโลกที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ และหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้ “เกษตรอินทรีย์” ที่ทำการเกษตรด้วยวิถีธรรมชาติ ได้รับความสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ปุ๋ยชีวภาพเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นด้วย

สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาผลิตเป็นปุ๋ยชีวภาพคือ “ไซยาโนแบคทีเรีย” หรือเดิมเรียกว่าสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน เนื่องจากแบคทีเรียนี้มีความสามารถในการตรึงก๊าซไนโตรเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในอากาศกว่าร้อยละ 70 และเปลี่ยนไนโตรเจนให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ไซยาโนแบคทีเรีย ยังช่วยส่งเสริมและปรับปรุงคุณภาพดินอีกด้วย โดยแบคทีเรียชนิดนี้สามารถเจริญเติบโต สังเคราะห์แสง และเพิ่มออกซิเจนให้กับดิน เป็นการส่งเสริมกระบวนการเมแทบอลิซึมของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ในดินได้ อีกทั้งยังสามารถผลิตฮอร์โมนที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ด้วย
นอกจากนี้ ไซยาโนแบคทีเรียสามารถสร้างสารเมือกทำให้ดินจับตัวเป็นก้อนและเก็บกักความชื้นได้ดี และเมื่อตายลงไซยาโนแบคทีเรียจะสลาย ทำให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารในพื้นที่เกษตร
กระบวนการผลิตไซยาโนแบคทีเรียเป็นปุ๋ยชีวภาพยังสามารถเก็บเป็นคาร์บอนเครดิตไปลดค่าใช้จ่ายในตลาดคาร์บอน (Carbon market) ได้อีกด้วย โดยการเพาะเลี้ยงไซยาโนแบคทีเรียต้องใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งถือเป็นการช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้
และตัวแบคทีเรียยังสามารถเพาะเลี้ยงในน้ำทิ้งได้ ช่วยลดปริมาณสารอาหารในน้ำทิ้ง จึงเป็นการช่วยบำบัดน้ำทิ้งได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นหากมีการขยายผลการใช้ปุ๋ยชีวภาพมากเท่าไรจะยิ่งช่วยสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นเท่านั้น
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการใช้“ปุ๋ยชีวภาพ”จึงเป็นการลดต้นทุนในการทำการเกษตรได้อย่างดี อีกทั้งยังมีส่วนช่วยส่งเสริมระบบเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และสร้างความยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจสีเขียวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ข้อเสียของปุ๋ยชีวภาพ: ต้องระวังในการเก็บรักษา เพราะมีจุลินทรีย์ที่มีชีวิต และให้ธาตุอาหารไม่ครบถ้วนเท่าปุ๋ยเคมี




