เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ GI ประยุกต์ใช้ “โดรน” รักษาคุณภาพ เพิ่มผลผลิต

นายนพดล ศรีพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 ขอนแก่น (สศท.4) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรด้วยฐานเศรษฐกิจความรู้และนวัตกรรม ทั้งด้านคุณภาพและมาตรฐาน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และช่วยวางรากฐานการพัฒนาได้ในระยะยาว โดยส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความหลากหลายมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาที่มุ่งสู่เกษตร 4.0 จากความสำคัญของการนำระบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการผลิต

สศท.4 จึงได้ศึกษาแนวทาง การพัฒนาสินค้าอัตลักษณ์ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (GI) จ.ร้อยเอ็ด ในพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย โดยลงพื้นที่สำรวจเกษตรกรกลุ่มตัวอย่างที่นำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในการผลิตข้าว กับเกษตรกรที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตข้าว จำนวนกลุ่มละ 32 ราย พบว่า เทคโนโลยีโดรนมาใช้ในการผลิตข้าว โดยนำมาใช้ในการฉีดพ่นยา/สารเคมีพ่นปุ๋ยน้ำ หรือฮอร์โมน ซึ่งการใช้โดรน จะทำให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตที่ดี การฉีดพ่นกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง ลดการเหยียบย่ำในแปลงนาข้าว ลดความเสียหายของผลผลิต ลดผลกระทบจากการสัมผัสสารเคมีและปัญหาด้านสุขภาพของเกษตรกร รวมถึงลดระยะเวลาในการทำงาน และสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานอีกด้วย

304195083 384004730572536 8011852365795914050 n scaled
ใช้ “โดรน” เพิ่มผลผลิตข้าว

ทั้งนี้ ผลสำเร็จของการใช้เทคโนโลยีโดรนในการผลิตข้าว ส่งผลให้เกษตรกรได้ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 393 กิโลกรัม/ไร่/ปี ในขณะที่เกษตรกรที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตข้าว ได้ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 342 กิโลกรัม/ไร่/ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกษตรกรที่ใช้เทคโนโลยีโดรนในการผลิตข้าว มีผลผลิตต่อไร่มากกว่าร้อยละ 15

ด้านราคาขายข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ GI จ.ร้อยเอ็ด ราคาเฉลี่ยปี 2564 ความชื้น 15% ที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา เฉลี่ยอยู่ที่ 10.3 บาท/กิโลกรัม ในส่วนของการแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง (ขนาดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม) ราคาเฉลี่ย 40 – 45 บาท/ถุง และข้าวกล้องบรรจุถุงสุญญากาศ ราคาเฉลี่ย 60 – 75 บาท/ถุง

ด้านภาพรวมของสถานการณ์ตลาด พบว่า ผลผลิตร้อยละ 56 เกษตรจะจำหน่ายให้กับโรงสีและกลุ่มเกษตรกร แบ่งเป็น ร้อยละ 21 จำหน่ายให้โรงสี , ร้อยละ 20 จำหน่ายให้กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวหอมมะลิ GI ทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ด และ ร้อยละ 15 จำหน่ายให้ศูนย์เมล็ดพันธุ์ พ่อค้าคนกลางที่รับซื้อข้าวเพื่อขายเป็นเมล็ดพันธุ์ และเกษตรกร ส่วนผลผลิตร้อยละ 44 แบ่งเป็น ร้อยละ 33 เก็บไว้บริโภคในครัวเรือน และร้อยละ 12 เก็บเป็นเมล็ดพันธุ์

ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2564 เกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้น และราคาข้าวเปลือกตกต่ำ เกษตรกรจึงเลือกที่จะเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์และบริโภคเป็นจำนวนมาก สำหรับปีเพาะปลูก 2564/65 เกษตรกรเริ่มปลูกตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน – สิงหาคม และเก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2565

สำหรับข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ GI จ.ร้อยเอ็ด (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ปี 2564) ปัจจุบัน มีพื้นที่ปลูกรวม 20,112 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอโพนทราย ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เมื่อปี 2549 ซึ่งนับเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ขึ้นชื่อเรื่องความหอม ความยาว ความขาว และความนุ่ม ซึ่งเป็นการยกระดับสินค้าชุมชนให้เป็นสินค้าข้าวคุณภาพที่ได้มาตรฐานการผลิต สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพและความปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น

ทั้งนี้ จังหวัดร้อยเอ็ด และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (GI) โดยมีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เป็นแหล่งเรียนรู้ รวบรวมและถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร อาทิ การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การแปรรูป และการตลาดออนไลน์ ซึ่งในส่วนหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในระดับพื้นที่ ได้ส่งเสริมศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์ข้าวชุมชน การพัฒนาระบบข้อมูลข้าวอัจฉริยะ เพื่อเฝ้าระวังเตือนภัยการระบาดของโรค การพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นเขตเศรษฐกิจข้าวหอมมะลิคุณภาพสูง หากท่านใดสนใจข้อมูลการผลิต ต้นทุนและผลตอบแทนของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ GI จ.ร้อยเอ็ด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สศท.4 โทร. 043 261 513 ต่อ 17 หรืออีเมล [email protected]