ธ.ก.ส. เดินหน้าแนวทางพัฒนาการผลิตสู่พืชเกษตรมูลค่าสูง

ธ.ก.ส. เดินหน้าแนวทางการผลิตสู่พืชเกษตรมูลค่าสูง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อยอดชุมชนสร้างฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลัก BCG เพื่อลดภาระหนี้ครัวเรือนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของภาคเกษตรกรรม ให้เป็นแรงหนุนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มาตรการดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและ Covid-19 ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่ผ่านโมเดล D&MBA ที่สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้เพิ่มให้เกษตรกร

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านถือเป็นช่วงแห่งความยากลำบากของเกษตรกรและผู้ประกอบการทางการเกษตร จากภาระต้นทุนทางการผลิตที่เพิ่มสูง ทั้งค่าปุ๋ย พลังงาน แรงงาน และข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าเกษตร ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้จัดทำมาตรการในการเข้าไปดูแลแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงขาขึ้นออกไปให้นานที่สุด ทั้งอัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันชั้นดี (MLR) อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MOR) และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) เพื่อมิให้เป็นภาระต้นทุนกับลูกค้าในช่วงการฟื้นตัว การจูงใจให้ลูกค้าชำระหนี้ผ่านโครงการชำระดีมีคืน Plus วงเงิน 3,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 65 การดูแลภาระหนี้สินเดิมเพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กำหนดชำระหนี้ใหม่ตามศักยภาพที่แท้จริง การไกล่เกลี่ยหนี้กรณีมีหนี้นอกระบบและมาตรการจ่ายดอกตัดต้นกรณีลูกค้าส่งชำระหนี้ ธนาคารจะแบ่งภาระการตัดชำระหนี้ตามสัดส่วนต้นเงินและดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าที่มีหนี้เป็นภาระหนัก

tractor 5819332 960 720
เกษตรมูลค่าสูง

ควบคู่การพัฒนาเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ ให้ความรู้ด้าน Financial Literacy/Digital Literacy การร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐเอกชน สถาบันการศึกษา ในการศึกษาดูงาน การฝึกปฏิบัติเพิ่มทักษะ ทั้งอาชีพเดิม อาชีพเสริม อาชีพใหม่ การปรับเปลี่ยนการผลิตไปปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง การลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต การยกระดับมาตรฐานสินค้า เป็นต้น โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนให้เกษตรกรและ NPLs/Loan ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7 ในช่วงสิ้นปีบัญชี

นายธนารัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้าย (1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2566) ธ.ก.ส. ยังคงมุ่งเน้นการเข้าไปแก้ไขปัญหาและลดภาระหนี้ครัวเรือนให้กับเกษตรกรลูกค้า ผ่านมาตรการและโครงการที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมนำจุดแข็งของเกษตรกรไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารที่ปลอดภัย ป้อนสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ การปลูกพืชพลังงาน การสนับสนุนพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ด้วยการดึงหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่มีนโยบาย Zero waste มาสนับสนุนชุมชนให้ปลูกต้นไม้และมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้ระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ยังสนับสนุนสินเชื่อตามโครงการรักษ์ป่าไม้ ไทยยั่งยืน สินเชื่อ Green Credit วงเงิน 6,000 ล้านบาท ผ่านแหล่งเงินทุนพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ให้เกษตรกรได้มีเงินทุนไปต่อยอดธุรกิจไม้มีค่าให้เติบโต รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนภายใต้ BCG Model ผ่านโครงการยกระดับชุมชนอุดมสุข เพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานชุมชนให้ครอบคลุมทั้ง 4 มิติ โดยมีชุมชนผ่านมาตรฐานแล้ว 88 ชุมชน โดย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนและต่อยอดการดำเนินธุรกิจ ผ่านโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย จำนวน 2,563 ธุรกิจ การสนับสนุนช่องทางด้านการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ https://baac-farmersmarket.com และการจัดตลาดนัดของดี วิถีชุมชนในทุก ๆ จังหวัด