วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การค้าไทยยุคใหม่ สู่ความยั่งยืนในเวทีโลก” งานสัมมนา “zero carbon” วิกฤติ-โอกาส ไทยในเวทีโลก ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่งทั้งโควิด เศรษฐกิจ สงครามการค้าและมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำซ้อนเข้ามาเหมือนทุกประเทศในโลก ทำให้การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย IMF คาดการณ์ว่าปี 65 จาก +4.4% ประเมินใหม่เหลือ +3.6% อังค์ถัด คาดว่าเหลือ +2.6% สาเหตุเพราะ 1.วิกฤติจะกระทบกับห่วงโซ่การผลิตชะงัก วัตถุดิบขาดแคลน 2.ราคาพลังงานผันผวน 3.ตลาดแรงงานทั่วโลกตึงตัว 4.เงินเฟ้อ สำหรับไทยถือว่าน้อยกว่าหลายประเทศ 5.ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
สำหรับประเทศไทย IMF คาดว่ายังเป็นบวก 3.3% คลังบอกว่าบวก 3.5% ตัวขับเคลื่อนสำคัญของไทยคือการส่งออกปี 64 ท่ามกลางวิกฤติต่าง ๆ บวกถึง 17.1% เกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4% สูงที่สุดในรอบ 11 ปี ทำเงินเข้าประเทศ 8.5 ล้านล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าบวก 4% ซึ่ง 3 เดือนแรกปี 65 เกินเป้าแล้วบวก 15% นำเงินเข้าประเทศ 2.4 ล้านล้านบาท ตั้งเป้าที่ 9 ล้านล้านบาท มีนาคม 65 +20% เงินเข้าประเทศเดือนเดียว 9.2 แสนล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 30 ปีและเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แต่หลังจากนี้การท่องเที่ยวเริ่มจะมีเข้ามาแล้ว หลังเปิดประเทศหวังว่าจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนจีดีพีได้ สำหรับการขับเคลื่อนภาครัฐงบประมาณแผ่นดินจะมีเม็ดเงินอีกก้อนมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การส่งออกยังเป็นพระเอกและเป็นความหวังในการนำประเทศไปข้างหน้าซึ่งจะยากขึ้นทุกวัน เพราะมีความท้าทายใหม่เกิดขึ้น ที่มีวิกฤติที่ต้องพลิกเป็นโอกาสในอนาคตอย่างน้อย 2 เรื่อง
1.การแบ่งขั้วทางการเมืองและการค้าที่แยกจากกัน จากนี้จะถูกมัดรวมกัน โลกจะถูกบังคับแบ่งขั้วเลือกข้างมากขึ้น ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นความยากในการทำการค้า ซึ่งจะมีหลายประเทศมีบทบาทมากขึ้น ชินเดีย คือ จีนและอินเดียที่มีประชากรและจีดีพีรวมกัน 1 ใน 3 ของโลก จะเป็นประเด็นใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่นักธุรกิจและภาครัฐจะมองข้ามไม่ได้ ประเทศไทยต้องฝ่าวิกฤติการแบ่งขั้วแบ่งค่ายทางการเมืองให้ได้ อย่างน้อยไทยต้องจับมือกับอาเซียนผนึกกำลังกันให้ชัด ให้มีอำนาจต่อรองเข้มแข็งขึ้นในเวทีการค้าโลก
2.เงื่อนไขกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่ภาษีจะเกิดมากขึ้น สัญญาณเตือนคือคำประกาศของสหภาพยุโรปที่เรียก European Green DEAL ประกาศในปี 2020 ทำเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปให้มีความยั่งยืนด้วย green economy ซึ่งมีมาตรการ CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่สำหรับโลกและประเทศที่อาศัยตลาดสหภาพยุโรปต้องตระหนักและเร่งปรับตัวให้ไปขายในสหภาพยุโรปได้
และปี 2026 สหภาพยุโรปจะเก็บภาษีคาร์บอนที่ข้ามพรมแดน เบื้องต้น 5 รายการ 1)เหล็ก 2)อะลูมิเนียม 3)ปุ๋ย 4)ซีเมนต์ 5)บริการด้านไฟฟ้าพลังงาน และอนาคตจะเพิ่มอีกคือ 1)พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากพลาสติก 2)ไฮโดรเจนซึ่งใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า 3. ออร์แกนิค เคมีคอล ที่ผสมอยู่ในปุ๋ย
นอกจากนี้สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของเกือบทุกประเทศในโลก อาจเก็บ Carbon TAX สำหรับสินค้าที่เข้าประเทศในอนาคต ประเมินว่าอาจมีเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียม เป็นต้น มาตรการเหล่านี้จะกระทบทั้งการผลิตและการตลาด โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ต้องปลอดคาร์บอนให้มากที่สุด ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรม รวมถึงภาคบริการด้วย
ทางออก คือ ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือ ต้องเดินสู่การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องทำและปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและประเทศไทยมีการสนองตอบต่อการพลิกวิกฤตินี้เป็นโอกาส เช่น ประกาศเป้าหมายสู่การเป็นซีโร่คาร์บอนในปี 2065 และได้มีการจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า อียูจะเก็บภาษีคาร์บอน และเรามี 1.วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”จับมือร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ เอาภาคการผลิตกับภาคการตลาดอยู่ด้วยกัน สนองความต้องการทางการตลาดและเงื่อนไขทางการตลาดของโลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2.มีการแยกหมวดเฉพาะ คือ BCG ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเดือนตุลาคม 64 ถึงไตรมาสแรก ปี 65 ทำตัวเลขส่งเสริมสินค้า BCG ได้ถึง 3,800 ล้านบาท เกินเป้า 7 เท่า มีผู้ประกอบการ 1,351 ราย โดยเฉพาะอาหารแห่งอนาคต อาหารของคนรุ่นใหม่ อาหารเฉพาะ อาหารทางการแพทย์ เป็นต้น และภาคการผลิตต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงพาณิชย์จะจับมือกับภาคเอกชน รัฐหนุน เอกชนนำและที่สำคัญ ต่อไปนี้ต้องเน้นมาตรการเชิงรุกและเชิงลึก สอดคล้องกับมาตรการทางคาร์บอน กลไกเศรษฐกิจทันสมัยต้องเอามาใช้มากขึ้น ทั้งเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรม อีคอมเมิร์ซ จับคู่เจรจาการค้า Blockchain cryptocurrency Metaverse และ “Soft Power” ต้องเอามาขายคู่กับ Green Economy ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพด้าน “Soft Power” มาก
มีการจัดอันดับโลกและเอเชียทางวัฒนธรรม ประเทศไทยอยู่ลำดับ 5 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินเดีย เราจะต้องขายคู่กับ “Zero Carbon” ถ้าเราสามารถจับมือไปด้วยกันในทิศทางที่ถูกต้อง ตนเชื่อว่าจะสามารถปรับวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้ให้เป็นทางรอดทางการค้านำเงินมหาศาลเข้าประเทศได้และยังทำให้ประเทศไทย สังคมไทยกลายเป็นประเทศที่น่าอยู่ ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ชาวกรุงเทพมหานครมีความสุขต่อไปในอนาคตได้ คุณภาพชีวิตทุกคนก็จะดีขึ้น