“บวบ” เป็นพืชผักตระกูลแตง (CUCURBITACEAE) ในอดีตคนไทยส่วนใหญ่นิยมปล่อยให้ “บวบ “เลื้อยตามรั้วหรือปล่อยให้เลื้อยพันไปตามต้นไม้ แล้วคอยเก็บผลอ่อนมารับประทานเป็นผัก ส่วน “บวบ” ที่ไม่ได้เก็บจะปล่อยจนแก่แห้งเหลือแต่เส้นใยที่เรียกว่า “รังบวบ” และถูกนำมาใช้ในการอาบน้ำ ขัดถูภาชนะโดยไม่ต้องไปหาซื้อฟองน้ำให้สิ้นเปลือง “บวบ”ที่สามารถปลูกได้ในประเทศไทยมีหลายชนิด ได้แก่ บวบเหลี่ยม บวบงู บวบหอม
1. บวบเหลี่ยม (Luffa acutangular Roxb.) ชื่อสามัญ Angled loofah เป็นไม้เถาอายุปีเดียว เถามีความยาว 6-8 เมตร ผลของบวบขนาดแตกต่างกันตามชนิด รูปทรงกระบอกมีเหลี่ยมตามความยาวผล เมล็ดมีลักษณะเป็นวงรี สีดำ ผิวขรุขระ ไม่มีปีกที่เมล็ด เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว นิยมปลูกโดยการหยอดเมล็ดในแปลงปลูก แปลงปลูกควรมีขนาดกว้างเพื่อให้เถาเลื้อยได้สะดวก ทำค้างเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยม ผูกยึดให้แข็งแรง บวบเหลี่ยมเริ่มเก็บเกี่ยวได้ที่อายุ 45-50 วันหลังหยอดเมล็ด และสามารถเก็บผลผลิตได้เป็นเดือน ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดี
การใช้ประโยชน์
ผลอ่อนสามารถนำมาทำแกงเลียง แกงส้ม แกงกับปลาแห้ง ผัดกับไข่ หรือนำมาต้มจิ้มน้ำพริก
คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยา
คุณค่าอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัมประกอบด้วย พลังงาน 18 กิโลแคลอรี น้ำ 95.4 กรัม โปรตีน 0.7 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.3 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม เหล็ก 0.7 มิลลิกรัม วิตามินเอ 5 ไมโครกรัม และวิตามินซี 15 มิลลิกรัม ใบบวบเหลี่ยมใช้ต้มดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ขับเสมหะ ถอนพิษไข้ แก้ริดสีดวงทวาร ถอนพิษแมลงกัดต่อย แก้คัน ผลบวบบำรุงร่างกาย ลดไข้ แก้ร้อนใน ระบายท้อง ขับเสมหะทำให้ชุ่มคอ รากใช้ต้มดื่มแก้อาการบวมน้ำ ระบายท้อง
2. บวบงู (Trichosanthes anguina (Linn.)) ชื่อสามัญคือ Snake gourd ผลลักษณะกลมยาวปลายผลแหลม ผิวเรียบ มีแถบสีขาวสลับเขียวทั้งผล เมื่อสุกมีส้มแดง เมล็ดบวบงูมีขนาดใหญ่การปลูกจึงหยอดเมล็ดลงในแปลงปลูกโดยตรงหรือเพาะกล้าก็ได้ อายุกล้าประมาณ 15-20 วัน ขนาดแปลงปลูก 1.6 x 6 เมตร ระยะปลูก 80 x 50 ซม. บวบงูจะเลื้อยทอดยอดที่อายุ 30 วันหลังหยอดเมล็ด ทำค้างเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมก็ได้ ใช้ตาข่ายขึงเพื่อให้เถายึดเกาะ จะเริ่มออกดอกที่อายุ 45-50 วันหลังหยอดเมล็ดและเริ่มเก็บเกี่ยวผลอ่อนที่อายุ 50-60 วันหลังหยอดเมล็ด
การใช้ประโยชน์
ผลอ่อนสามารถนำมารับประทานสด หรืออาจลวกจิ้มน้ำพริกอ่อง น้ำพริก แดง น้ำพริกปลาร้า นำมาแกงผักรวมหรือนำมาผัดกับหมู
คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยา
คุณค่าทางอาหารในส่วนที่รับประทานได้ของบวบงู 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 16 กิโลแคลอรี น้ำ 96 กรัม โปรตีน 0.9 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.8 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 2 มิลลิกรัม เหล็ก 0.7 มิลลิกรัม และวิตามินซี 24 มิลลิกรัม ผลบวบงูใช้บำรุงร่างกาย แก้กระหายน้ำ ขับพยาธิ แก้อาการท่อน้ำดีอุดตัน
3. บวบหอม ( Luffa cylindrica (L) M.Roem.) ชื่อสามัญคือ Smooth loofah ผลอ่อนสีเขียวมีลายเขียวเข้ม ผลแก่สีเขียวออกเหลืองจนถึงสีน้ำตาล มีเส้นใยเหนียว ลักษณะเป็นร่างแห การปลูกบวบหอมสามารถหยอดเมล็ดลงในแปลงปลูกโดยตรง เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 10-14 วัน ถอนแยกให้เหลือต้นที่สมบูรณ์ ระยะปลูก 40-90 x 60-90 ซม. ใช้ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้วใส่ก้นหลุมก่อนปลูก บวบหอมจะเลื้อยทอดยอดที่อายุ 15-20 วันหลังหยอดเมล็ด ทำค้างเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมก็ได้เพื่อให้เถายึดเกาะ บวบหอมจะเริ่มออกดอกที่อายุ 42-70 วันหลังหยอดเมล็ดและเริ่มเก็บเกี่ยวผลอ่อนที่อายุ 63-91 วันหลังหยอดเมล็ด
การใช้ประโยชน์
ผลอ่อนใช้รับประทานสดนำมาทำแกงเลียง ผัดกับไข่หรืออาจลวกจิ้มกับน้ำพริกต่างๆเส้นใยจากผลแก่สามารถนำมาทำเส้นใยสำหรับขัดตัวหรือล้างภาชนะ การถูตัวด้วยเส้นใยธรรมชาติจะช่วยให้ การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นและกระตุ้นผิวหนังให้สดชื่นเพราะเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วได้ถูกกำจัดออกไป
คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยา
คุณค่าทางอาหารในส่วนที่รับประทานได้ของบวบหอม 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 85 กิโลแคลอรี น้ำ 93 กรัม โปรตีน 0.6-1.2 กรัม ไขมัน 0.21 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4-4.9 กรัม แคลเซียม 16-20 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 24-32 มิลลิกรัม เหล็ก 0.4-0.6 มิลลิกรัม และวิตามินซี 7-12 มิลลิกรัม ผลอ่อนมีสรรพคุณแก้ร้อนใน ลดไข้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามทางเดินอาหาร แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
วิธีปลูกทำอย่างไร
- ขุดดินลึก 20-25 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก คลุกเคล้าลงไปในดิน 30 – 40 กิโลกรัม/ไร่
- พรวนดินให้ละเอียด ขุดหลุมกว้างประมาณ 1 หน้าขอบ ลึก 2 – 4 เซนติเมตร ระหว่างต้น 75เซนติเมตร ระหว่างแถว 100 เซนติเมตร
- โรยปุ๋ยสูตร 13-13-21 รอบกั้นหลุม ประมาณ 1 กำมือ กลบดินเล็กน้อย หยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปหลุมละ 3-4 เมล็ด กลบด้วยดินร่วนหรือปุ๋ยคอก หนา 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่ม แล้วคลุมด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้ง หลังจากต้นบวบงอกมาได้ 10 – 15 วัน ให้ถอนต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือต้นดีไว้หลุมละ 2 ต้น
การรดน้ำ
รดน้ำทุกวัน ๆ ละ 1ครั้ง (เช้าหรือเย็น) หากเป็นฤดูแล้ง ควรรดน้ำวันละ 2ครั้ง หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ “บวบ”จะเริ่มเลื้อย ให้ทำ “ร้าน”เพื่อให้บวบเลื้อยเกาะโดยนำวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ไม้รวกปักบริเวณต้นบวบแต่ละต้น และปลาย ไม้ด้านบนให้ใช้ไม้หรือลวดผูกยึดติดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม
4.เมื่อบวบอายุได้ 25-30 วัน ให้พรวนดินรอบโคนต้นห่างออกมาประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ประมาณ 1 กำมือ และรดน้ำตาม
5.หลังจากปลูกไปได้ประมาณ 45 วัน บวบจะเริ่มออกดอก และเริ่มติดผล ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15ประมาณ 1 กำมือ รอบโคนต้น ต่อเนื่องกันไปสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อบำรุงต้นบวบ
6.หลังติดผลประมาณ 7 วัน หรืออายุ 50 -60 วัน จึงเก็บเกี่ยวผลได้ โดยเก็บขณะที่ผลยังอ่อนอยู่ หากต้องการเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ ให้ปล่อยผลบวบไว้กับต้นจนแก่จัด แล้วจึงแกะเอาเมล็ดไปผึ่งแดดจนแห้ง เก็บใส่ภาชนะให้มิดชิดจนกว่าจะนำไปปลูก
7. “บวบ”เป็นพืชที่ทนต่อโรคและแมลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีนัก หากจะมีบ้างก็อาจจะเป็น”หนอนม้วนใบ” หากพบก็ให้ใช้สารเคมีฉีดพ่นกำจัดเสีย
ตลาด/แหล่งจําหน่าย
ตลาดสดทั่วไป หรือขายส่งพ่อค้าแม่ค้า
ต้นทุนในการปลูกบวบ
ประมาณ 3,500 บาทขึ้นไป/ไร่ (ไม่รวมค่าที่ดิน) (ค่าเมล็ดพันธุ์ ประมาณ 1,200 บาท/ไร่ ค่าทำร้านให้บวบเลื้อยเกาะขึ้นอยู่กับวัตถุในท้องถิ่นนั้น ค่าปุ๋ยประมาณ 2,000-3,000 บาท)
รายได้
ประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป/8 – 10 ตัน/ไร่
วัสดุ/อุปกรณ์
เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย จอบ เสียม วัสดุทำร้าน (ขึ้นอยู่กับท้องถิ่นนั้น ๆ)
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการเกษตรทั่วไป หรือบริษัทจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ