
นางราตรี บัวพนัส อายุ ๕๓ ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ ๒๓๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
การศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ ๖
อาชีพ เกษตรกร (ปลูกข้าวอินทรีย์พืชผสมผสาน)

ผลงานดีเด่น ความคิดริเริ่มและความพยายามฟันฝ่า อุปสรรคในการสร้างผลงาน
หมอดินราตรี บัวพนัส ตั้งแต่เด็กสัมผัสวิถีชีวิตการทำนา เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ พ่อและแม่ให้ประกอบอาชีพรับจ้างเนื่องจากไม่มีเงินให้ศึกษาต่อ จนกระทั่งมีครอบครัวจึงกลับมาทำนา แต่ประสบปัญหาศัตรูพืช น้ำท่วม ภัยแล้ง มีต้นทุนสูงจากการใช้สารเคมีประกอบกับ ตรวจเจอมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้หมอดินราตรี บัวพนัส ปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ โดยมีพื้นที่ ๖๐ ไร่ ลักษณะชุดดินเป็นชุดดินบ้านหมี่ โคกกระเทียม และดินคล้ายชุดดินลพบุรี ดินเหนียวจัดลึกมาก ฤดูแล้งดินแตกระแหงเป็นร่องลึกกว้าง ฤดูฝนเสี่ยงน้ำท่วมขัง ปฏิกิริยาดินเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง ดินล่างเป็นด่าง ปริมาณอินทรียวัตถุต่ำถึงปานกลาง ช่วงเริ่มต้นเป็นการลองผิด ลองถูก ศึกษาเปรียบเทียบ โดยแบ่งพื้นที่ทำนาใช้ปุ๋ยอินทรีย์และทำนาแบบใช้สารเคมี แต่ยังไม่ประสบผลสำาเร็จ จึงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เริ่มจากการไม่เผาตอซังข้าว และผลิตน้ำหมักจากหน่อกล้วยเพื่อย่อยสลายตอซังให้เร็วขึ้น ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เข้าร่วมโครงการปลูกพืชปุ๋ยสดของรัฐบาล ได้ปรับปรุงดินด้วยปอเทืองพบว่าข้าวมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ได้อบรมการทำเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ปรับเปลี่ยนจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นเกษตรผสมผสานและน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและทำการเกษตรด้วยทางสายกลางตามหลักการ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข มาเป็นหลักในการคิดการปฏิบัติสามารถพึ่งพาตนเองได้ ยึดหลัก พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น โดยมีการบริหารจัดการ คือ จัดการดิน จัดการน้ำ จัดการพื้นที่ ประยุกต์ใช้นวัตกรรมต่าง ๆ ในการปรับปรุงบำรุงดิน เช่น ผลิตปุ๋ยหมักจากสารเร่งซุปเปอร์ พด.๑ ผลิตน้ำาหมักสับปะรดจากสารเร่งซุปเปอร์ พด.๒ การผลิตน้ำหมักจากหญ้าเนเปียร์ ทดแทนการใช้ปุ๋ยยูเรียจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงและน้ำหมักชีวภาพจากปลาเร่งการเจริญเติบโตของพืช สารควบคุมแมลงศัตรูพืชจากสารเร่งซุปเปอร์ พด. ๗ โดยใช้สมุนไพรในแปลง และขยายเชื้อจุลินทรีย์ พด. ๑๔ ทำเป็นรูปแบบแห้ง สะดวกต่อการเก็บรักษานานถึง ๖ เดือน สามารถยับยั้งการระบาดของโรคพืชในแปลงผัก ปลูกพืชปุ๋ยสดปอเทือง หมุนเวียนหลังปลูกข้าว มีการประดิษฐ์รถไถกลบตอซังจากยางรถยนต์เก่านำกลับมาหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์

ปัจจุบันหมอดินราตรี บัวพนัส ได้รวมกลุ่มตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน “สวนพ่อสอน” ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยเฉพาะข้าวอินทรีย์ในตลาดท้องถิ่น
ผลงานและความสำเร็จของผลงานทั้งปริมาณและคุณภาพ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานและความยั่งยืนในอาชีพ
มีพื้นที่ทั้งหมด ๔ แปลง รวมเป็นพื้นที่ ๖๐ ไร่ แบ่งพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ๒ ส่วน ดังนี้ พื้นที่ส่วนที่ ๑ มีพื้นที่ ๔๒ ไร่ ๓ งาน เป็นพื้นที่ลดการใช้สารเคมี ปลูกข้าวสลับกับปลูกปอเทืองและถั่วเขียว เป็นพืชหมุนเวียนหลังนา พื้นที่ส่วนที่ ๒ มีพื้นที่ ๑๖ ไร่ ๑ งาน ปลูกพืชอินทรีย์แบบผสมผสาน โดยปลูกข้าวสลับกับปลูกปอเทืองและถั่วเขียว ปลูกพืชผักสวนครัว ได้แก่ พริกมะเขือเทศ มะเขือ หอมแดง ตะไคร้ ถั่วฝักยาว แตงกวา บวบมะระ ฟักทอง แฟง แค ไม้ผล ไม้ยืนต้น ได้แก่ กล้วย ขนุน มะขามเทศ พุทรา มะยม ไม้ป่า สมุนไพร ได้แก่ ข่า ตะไคร้ มะกรูด ขมิ้น มีสระน้ำ คลองเก็บน้ำ บ่อเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ และที่อยู่อาศัย จากการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อทำการเกษตรแบบผสมผสานตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่จนเกิดผลสำเร็จ ดังนี้

ด้านการพัฒนาที่ดินอย่างยั่งยืน (๑) การปรับปรุงดินมีการวิเคราะห์ดินเพื่อปรับปรุงดินให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของพืช ด้วยชุดตรวจสอบภาคสนาม(LDD Test Kit) โดยเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ดินปี ๒๕๕๙ ก่อนการปรับปรุงบำรุงดิน และปี ๒๕๖๘ แปลงนาข้าว แปลงพืชผสมผสาน พบว่า ปริมาณอินทรียวัตถุในดินอยู่ระดับต่ำหลังปรับปรุงดินอินทรียวัตถุในดินอยู่ระดับค่อนข้างสูงถึงสูง ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น (๒) การปรับเปลี่ยนจากปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นปลูกพืชผสมผสาน ร่วมกับทำประมงและเลี้ยงสัตว์(๓) การพัฒนาแหล่งน้ำ มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์สำหรับสูบน้ำ (๔) การประยุกต์ใช้เทคนิคนวัตกรรมเมื่อถึงวันเกี่ยวข้าว หว่านเมล็ดปอเทืองให้ทั่วแปลงจากนั้นรถเกี่ยวข้าวพร้อมติดตัวกระจายฟางลงแปลงฟางจะกระจายคลุมเมล็ด เป็นการรักษาความชื้นและทำให้เมล็ดปอเทืองงอกเร็วขึ้น และใช้น้ำหมักสับปะรดฉีดเพื่อย่อยสลายตอซังและข้าวดีด มีการประดิษฐ์รถไถกลบตอซังจากยางรถยนต์เก่าใช้หลักการแบบรถบดดินโดยปรับผิวหน้าดินที่มีฟางให้เรียบ เพื่อง่ายต่อการไถกลบลงดิน

ด้านผลผลิตและรายได้ ปี ๒๕๕๙ ผลผลิตข้าว ๘๐๐ -๑,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากปรับปรุงดินมาอย่างต่อเนื่อง ปี ๒๕๖๗ ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น๑,๑๕๐ – ๑,๒๕๐ กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์) รายได้ปี ๒๕๕๙ ปลูกข้าวแบบใช้สารเคมี ๓๖๕,๑๐๐ บาทต่อปี รายได้ปี ๒๕๖๗ หลังปรับเปลี่ยนปลูกข้าวอินทรีย์และลดการใช้สารเคมี ๒,๓๙๕,๗๑๐ บาท พืชผักสวนอินทรีย์ ๓๓๓,๐๐๐ บาท ปลาทับทิมแปรรูป ๒๐๐,๐๐๐ บาท ไข่ไก่ ๘๐,๐๐๐ บาท การแปรรูปได้แก่ ไม้ผลอินทรีย์ ๑๓๖,๐๐๐ บาท สมุนไพรอินทรีย์ ๑๑๖,๐๐๐ บาท การจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ปอเทืองและถั่วเขียว ๑๘๖,๙๘๗ บาทต่อปี รวมรายได้ปี ๒๕๖๗ประมาณ ๓,๔๔๗,๖๙๗ บาทต่อปี

ด้านการตลาด รวมกลุ่มในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนวางแผนการปลูกพืช ผลิตข้าวอินทรีย์สู่ท้องตลาดและพืชผสมผสาน ประมง ปศุสัตว์ ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวและปอเทือง และการแปรรูปสินค้าเกษตร มีการทำMOU กับ หจก.แม่ตังกวยฟู้ดส์ ส่งออกเครื่องเทศ เช่น ข่า ตะไคร้ ขมิ้น มะกรูด และมีใบเตยอบแห้ง ใบเตยผง เป็นการผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด และผลิตสินค้าที่กลุ่มผู้รักสุขภาพต้องการ มีการขอใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า มีการจำหน่ายหน้าฟาร์ม ตลาดท้องถิ่น และตลาดออนไลน์

ด้านการเผยแพร่ผลงาน เป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) ของกรมพัฒนาที่ดิน สวนพ่อสอน ศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอตาคลี ศูนย์การจัดการดินและปุ๋ยชุมชนของกรมส่งเสริมการเกษตร และเป็นศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” มีการเผยแพร่ผลงานในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook สวนพ่อสอน เกษตรอินทรีย์ และผ่านช่องทาง YouTube เช่น ศูนย์เรียนรู้แปลงไร่นาสวนผสม ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน นอกจากนี้เผยแพร่ผลงานผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์

ด้านความสำเร็จการจัดทำจุดเรียนรู้/ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน มีศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน และเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) นอกจากนี้เป็นศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) บ้านดงมัน ตำบลจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ปี ๒๕๖๖ ถึงปี ๒๕๖๗ มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมศูนย์ฯ และฝึกอบรมมากกว่า ๓,๐๐๐ ราย
ด้านรางวัลเชิดชูเกียรติ หมอดินราตรี บัวพนัส เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน จนได้รับรางวัลจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เช่น(๑) ใบรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม สังกัดกลุ่มเกษตรอินทรีย์ดงมัน ได้ผ่านการรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภายใต้กระบวนการพีจีเอสโดยมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย (๒) เกษตรกรต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ของกรมพัฒนาที่ดิน (๓) บุคคลต้นแบบการพัฒนาศูนย์เรียนรู้และขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบ “โคก หนอง นา” ของกรมการพัฒนาชุมชน (๔) รางวัลชนะเลิศอันดับที่ ๑ เกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพไร่นาสวนผสม ระดับจังหวัด ประจำปีพ.ศ. ๒๕๖๗

ด้านความสำเร็จเชิงประจักษ์ พื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ของหมอดินราตรี บัวพนัส แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงบำรุงดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกร รายได้ และสุขภาพของหมอดิน ราตรี บัวพนัส ซึ่งปัจจุบันไม่พบมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
ความเป็นผู้นำและการเสียสละเพื่อประโยชน์ ส่วนรวมในด้านต่าง ๆ
ด้านจิตอาสา เป็นหมอดินอาสาประจำตำบล ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่กลุ่มเกษตรกรในชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่ข้างเคียง รวมถึงเป็นผู้ประสานงานที่ดีระหว่างเกษตรกร หมอดินอาสา และเจ้าหน้าที่โดยจิตอาสาประสบการณ์จากการป่วยและรอดชีวิตทำให้เห็นคุณค่าต่อผู้อื่นและเสียสละเพื่อตอบแทนบุญคุณในหลวงและแผ่นดิน
ด้านความเป็นผู้นำกลุ่มและเครือข่าย
(๑) ประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์ PGS บ้านดงมัน
(๒) ประธานผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ปอเทืองตำาบลจันเสน
(๓) ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสวนพ่อสอนเกษตรปลอดภัย กรมส่งเสริมการเกษตร
(๔) ประธานกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว
(๕) ประธานศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน กรมส่งเสริมการเกษตร
(๖) ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตสินค้าเกษตรอำเภอตาคลี กรมส่งเสริมการเกษตร
(๗) ประธานกลุ่มกองทุนเงินออมตำาบลจันเสน
(๘) ประธานกลุ่มผู้ปลูกถั่วแระญี่ปุ่น
ด้านความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในด้านต่าง ๆ พื้นที่ของหมอดินราตรี บัวพนัสเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตร เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรอินทรีย์ เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ และเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานต่าง ๆนอกจากนี้แบ่งพื้นที่ให้สมาชิกได้ปลูกผักสร้างรายได้
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การทำการเกษตรคาร์บอนต่ำสู่ความยั่งยืน คือ การทำนาข้าวแบบเปียกสลับแห้งในพื้นที่นา ๔๖ ไร่ ๓ งาน ช่วยประหยัดน้ำและลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นสาเหตุของก๊าซเรือนกระจกที่ทำาให้เกิดภาวะโลกร้อนมีการเตรียมความพร้อมปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตและการปลูกข้าวตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน(Thai Rice NAMA)เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศในการผลิตข้าวเทคโนโลยีการทำนายั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตข้าวอย่างเป็นรูปธรรม โดยกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)
การอนุรักษ์ดินและน้ำ ปลูกหญ้าแฝกรอบขอบบ่อน้ำเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายขอบบ่อ การใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างคุ้มค่า หลังการเกี่ยวข้าว นำฟางข้าวมาใช้ประโยชน์ปรับปรุงบำรุงดินร่วมกันฉีดน้ำหมักชีวภาพ และไถกลบ
ตอซัง เป็นต้นแบบลดการเผา การทำการเกษตรอินทรีย์และลดใช้สารเคมี ปลูกพืชแบบปลอดภัยโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย ส่งผลต่อสุขภาพดีในระยะยาว




