กระเจี๊ยบเขียว (Okra) เป็นผักพื้นบ้านที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสรรพคุณทางยามากมาย โดยเฉพาะในส่วนของ “เมือก” ที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร

สรรพคุณและประโยชน์ที่สำคัญ
- บำรุงระบบทางเดินอาหาร: เมือกเหนียวในกระเจี๊ยบช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยเคลือบกระเพาะ และลดการอักเสบ
- ช่วยระบบขับถ่าย: มีเส้นใยอาหาร (Fiber) ทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ทำให้อุจจาระนิ่ม และช่วยกำจัดสารพิษในลำไส้
- ควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอล: ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และช่วยดักจับไขมันเพื่อขับออกจากร่างกาย
- บำรุงกระดูก: อุดมไปด้วยวิตามินเคและแคลเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- บำรุงครรภ์: มีโฟเลต (Folate) สูง ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์และช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิด
- ต้านอนุมูลอิสระ: มีสารกลูตาไธโอนและวิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
- คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)
- พลังงาน: ประมาณ 23-35 กิโลแคลอรี
- โปรตีน: 1.5 – 3 กรัม
- ใยอาหาร: ประมาณ 4 กรัม
- วิตามินและแร่ธาตุ: วิตามินซี, วิตามินเค, วิตามินบี 1, บี 2, แคลเซียม และเหล็ก

ข้อควรระวัง
- ผู้ป่วยโรคไต: ควรระวังการบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปเนื่องจากอาจส่งผลต่อการทำงานของไตในบางกรณี
- ภาวะโลหิตจาง: กระเจี๊ยบมีกรดออกซาลิก (Oxalic acid) สูง ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก หากมีภาวะโลหิตจางจากการขาดเหล็กควรบริโภคแต่พอดี

วิธีการปลูก
การปลูก “กระเจี๊ยบเขียว”นั้นจะนิยมใช้วิธีการเพาะเมล็ด โดยเริ่มจากการนำเมล็ดมาแช่น้ำเพื่อกำจัดศัตรูพืช โดยให้ผสมยาฆ่าเชื้อราและป้องกันแมลงแช่ไว้ประมาณ 30 นาทีหรือนานกว่านั้นเล็กน้อย จากนั้นให้เตรียมดินโดยการไถพรวนหน้าดินประมาณ 2 ครั้ง หากดินมีสภาพเป็นกรดก็ให้ใส่ปูนขาวในอัตราส่วน 80 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ รวมทั้งใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดิน 2 ตันต่อไร่และปุ๋ยจำนวน 35 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อปรับดินให้อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกกระเจี๊ยบเขียวมากยิ่งขึ้น และให้ปลูกยกร่องเว้นระยะห่างระหว่างต้น 50 * 75 cm ก็จะได้จำนวนต้นประมาณ 8,000 ต้นต่อ 1 ไร่ ใช้วิธีการหว่านเมล็ดลงไปโดยปริมาณเมล็ดที่ใช้นั้นเป็นจำนวน 1 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นก็รดน้ำทุกวันเพียงวันละ 1 ครั้งก็พอแล้ว หลังจากนั้นก็สามารถลดปริมาณการให้น้ำเพียงแค่ 3-4 วันครั้ง และหมั่นใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอเพียงเท่านี้ก็รอเก็บผลผลิตได้แล้ว จะนำไปวางขายตามท้องตลาดทั่วไปหรือนำขายส่งเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปก็ได้





