“มะเขือม่วง” (Eggplant) คือพืชตระกูลมะเขือที่มีผลสีม่วง ลักษณะยาวรีหรือกลม ผิวเรียบ มีรสหวานกรอบ นิยมนำมาทำอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัด อบ นึ่ง หรือรับประทานสด มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และมีวิตามินแร่ธาตุอื่นๆ

ลักษณะเด่น
- สี: ผลมีสีม่วงเข้ม เงางาม อาจมีทั้งแบบก้านดำและก้านเขียว.
- เนื้อ: สีขาว มีเมล็ดเล็กๆ จำนวนมาก
- รสชาติ: หวานกรอบ คล้ายมะเขือเปราะแต่มีเนื้อแน่นกว่า

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
- สารต้านอนุมูลอิสระ: สีม่วงมาจากแอนโทไซยานิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
- บำรุงเลือด: มีทองแดงและวิตามินบี 2 ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและป้องกันโลหิตจาง
- บำรุงกระดูก: มีสารประกอบฟีนอลช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
- บำรุงสมอง: ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและป้องกันโรคอัลไซเมอร์

การนำไปประกอบอาหาร
- ไม่ปอกเปลือก: เพื่อให้ได้สารอาหารสูงสุด ควรรับประทานพร้อมเปลือก
- ปรุงด้วยน้ำมัน: ผัด ทอด (เช่น เทมปุระ) ช่วยคงสารอาหารได้ดี
- ทำซุปหรือแกง: สารแอนโทไซยานินจะละลายออกมาในน้ำซุปได้ดี
- เมนูแนะนำ: ผัดมะเขือม่วง, มะเขือม่วงอบชีส, ใส่ในแกงต่างๆ, รับประทานกับน้ำพริก
“มะเขือม่วง” เป็นพืชผักที่นิยมรับประทานกันทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในทวีปอเมริกา ยุโรปที่นิยมรับประทานกับอาหาร ประเภทเผาย่างหรือแม้แต่ในทวีปเอเชียเองทั้งในประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่แล้ว เกษตรกรในประเทศไทยมักจะปลูกไว้ เพื่อรับประทานตามครัวเรือน และยังปลูกไว้ขายทั้งในและต่างประเทศ โดยไทยส่งออกมะเขือม่วงไปยังประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด

ข้อควรระวังในการบริโภค
เนื่องจากมะเขือม่วงเป็นพืชที่มีสารพิษประเภทอัลคาลอยด์ปะปนอยู่ในปริมาณเล็กน้อยเช่นเดียวกับมันฝรั่ง พริกไทย การบริโภคมะเขือม่วงจึงมีข้อควรระวัง ดังต่อไปนี้
-ควรล้างทำความสะอาดพร้อมปรุงให้สุกทุกครั้งก่อนบริโภค
-“มะเขือม่วง “มีสารโซลานีน (Solanine) ที่อาจทำให้แสบร้อนในลำคอ คลื่นไส้ อาเจียน หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ดังนั้น จึงควรบริโภคในปริมาณที่พอดี
-“มะเขือม่วง”มีสารออกซาเลต (Oxalate) ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของนิ่วในไต จึงควรบริโภคในปริมาณที่พอดี
-โปรตีนในมะเขือม่วงอาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้ได้ แต่พบได้ค่อนข้างน้อย
-หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร สามารถบริโภคมะเขือม่วงได้อย่างปลอดภัยในปริมาณที่ไม่มากเกินไป และควรบริโภคอาหารให้ครบทุกหมู่ รวมทั้งผักและผลไม้ให้หลากหลายเพื่อบำรุงร่างกายและได้รับปริมาณสารอาหารครบถ้วน
มะเขือม่วงนั้น เป็นพืชล้มลุกที่อยู่ได้ในระยะเวลาเกิน 1 ปี โดยมีลำต้นที่ไม่สูงมากและแตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นจำนวนมาก จนมีลักษณะต้นคล้ายทรงพุ่มใบเรียวยาว และหยักคล้ายเกลียวคลื่น มีขนปกคลุมไปทั่วทั้งใบ ผลของมะเขือม่วงนั้นจะมีลักษณะกลมรีคล้ายหยดน้ำ หรืออาจจะมีลักษณะเรียวยาวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เลือกนำมาเพาะปลูก
การปลูกมะเขือม่วงนั้นสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด โดยจะเลือกใช้วิธีการเพาะในแปลงเพาะชำ หรือเพาะในกระบะชำก็ได้ หากเป็นการเพาะในกระบะเพาะ ให้เริ่มจากการนำดินมาผสมกับปุ๋ยคอก โดยให้ดินมีอัตราส่วน 1 ต่อ 3 ของปุ๋ยคอก และอาจจะใส่แกลบดำ หรือขุยมะพร้าวเข้าเป็นส่วนผสมด้วยก็ได้ เมื่อเตรียมดินเรียบร้อยแล้วก็ให้ใช้วิธีการหยอดเมล็ดลงไปในกระบะเพาะ โดยให้หยอดหลุมละ 2 เมล็ด จากนั้นก็นำทางมะพร้าวมาบังร่มไว้พอประมาณ หรือจะปลูกไว้ในที่ไม่มีแสงแดดจ้าก็ได้ วิธีดูแลก็เพียงแต่รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป 10 ถึง 15 วันหรือสังเกตเห็นแล้วว่ามีใบกล้าของมะเขือม่วงออกมาประมาณ 4-5 ใบก็เป็นอันว่าสามารถย้ายลงแปลงปลูกได้แล้ว
สำหรับการปลูกในแปลง ให้ไถพรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืชออกจากแปลง โดยไถพรวนประมาณ 2 รอบและก่อนที่จะไถรอบที่ 2 ให้นำปุ๋ยคอกในอัตรา 3-4 ตันต่อ 1 ไร่ โรยลงไปในดินที่ต้องการจะปลูก จากนั้นก็ให้พรวนดินให้เข้ากัน จะเลือกปลูกแบบยกร่อง หรือปลูกแบบธรรมดาก็ได้ โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 80 ถึง 100 เซนติเมตร การย้ายกล้ามาปลูกในแปลงปลูกนั้น จะนิยมปลูกกันในช่วงหน้าฝน มะเขือม่วงจะเติบโตได้ดีจะได้ปริมาณน้ำเป็นจำนวนมาก และทำให้ดินชุ่มชื้นมีผลต่อการเจริญเติบโตของมะเขือม่วง การย้ายแปลงปลูกนั้นจะต้องรดน้ำให้ทั่วแปลงก่อน จึงทำการย้ายในทันทีโดยให้ขุดหลุมลึกประมาณ 10 ถึง 15 cm ซึ่งพื้นที่ 1 ไร่ก็จะสามารถปลูกได้ประมาณ 1,200 ต้น
จากนั้นก็ให้ดูแลต้นมะเขือม่วงโดยการให้น้ำ ควรให้น้ำทุกวัน โดยเฉพาะหลังจากการปลูกมะเขือม่วงลงแปลง 14 วัน จนต้นเริ่มออกดอกและเริ่มเจริญเติบโตขึ้นก็ให้สามารถรดน้ำได้สัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง และการใส่ปุ๋ยนั้นสามารถใส่ปุ๋ยได้หลังจากการปลูกประมาณ 1 เดือนหรือประมาณ 20-25 วันโดยใส่ปุ๋ยคอก 2 กำมือต่อต้น และกำจัดวัชพืชได้เดือนละ 1 ครั้งในขณะที่ต้นกำลังเจริญเติบโตและเมื่อต้นโตเต็มวัยแล้วก็สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ เพราะต้นมะเขือม่วงนั้นทนต่อสภาพอากาศโรคภัยต่างๆ
ใช้เวลาประมาณ 45 ถึง 60 วันหลังจากที่ปลูกต้นมะเขือม่วงลงแปลงแล้ว ก็สามารถเก็บเกี่ยวมะเขือม่วงได้ ผลมะเขือม่วงสามารถเก็บไว้ได้นาน วิธีการเก็บเพียงแค่ใช้กรรไกรตัดตรงก้านผลก็จะได้ผลมะเขือม่วง เกษตรกรสามารถนำพันธุ์มะเขือม่วงมาปลูกกันได้เพราะนอกจากจะบริโภคในครัวเรือนได้แล้วยังสามารถนำไปขายสร้างรายได้ดีอีกด้วย




