“ภูมิธรรม” ขอให้ดูความเป็นจริง พื้นที่พิพาท ส.ป.ก. – กรมอุทยานฯ ย้ำใช้ One Map เป็นมาตรฐานกลาง ชี้จะมีคนผิดหรือไม่ ต้องดูข้อเท็จจริง

428611149 854937943310146 1863997692502219327 n
นายภูมิธรรม เวชยชัย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเรื่องที่ดินระหว่าง ส.ป.ก. และกรมอุทยานแห่งชาติว่า เรื่องนี้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อวานนี้ได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ซึ่งก็ได้แจกสิทธิทำกินให้กับประชาชนในเขตลุ่มน้ำ ตามกฎระเบียบกฎหมาย ประมาณ 8 แสนกว่าไร่ ใน 50 กว่าจังหวัด

ส่วนเรื่องที่ดิน ส.ป.ก. ก็เป็นเรื่องเก่าที่ต้องสะสาง เพราะเป็นเรื่องที่มีหน่วยราชการรับผิดชอบหลายหน่วย อีกทั้งมีแผนที่ที่มองไม่ตรงกัน จึงได้แก้ปัญหาในการจัดทำแผนที่ One Map ให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยประมาณ 1-2 วันที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมพูดคุยกัน ซึ่งทุกคนต่างยอมในการที่จะใช้ One Map 1 ต่อ 4,000 ให้เป็นมาตรฐานกลาง

ทั้งนี้มองว่า ต้องแก้ไขปัญหาแบบยืดหยุ่น และต้องดูความเป็นจริง พร้อมกับยกตัวอย่างว่าก่อนหน้านี้ได้ไปดูแหล่งการปลูกกาแฟ ที่จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีชนเผ่าเมี่ยน เป็นผู้มีสิทธิทำกินในพื้นที่ดังกล่าว และอยู่ประเทศไทยมาแล้วประมาณ 200 ปี แต่พอรัฐบาลประกาศเขตไปทับซ้อนพื้นที่พวกเขา ก็เกิดปัญหา ทำให้ คทช. จึงไปคืนสิทธิให้กับพวกเขาในการทำกิน แต่สินทรัพย์ต้องเป็นสินทรัพย์กลาง พร้อมกับมีเงื่อนไขให้พื้นที่ต้องมีการปลูกต้นไม้ เพื่อจะทำให้พวกเขาอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งก็ไม่อยากใช้คำว่าเป็นอาชญากร หรือเป็นคนที่ทำผิดกฎหมาย เพราะพวกเขาก็อยู่มาก่อนหน้านั้น และรัฐบาลประกาศเขตทับซ้อนพื้นที่เขา จึงต้องคืนสิทธิในการทำกินให้กับพวกเขา ยกเว้นกับคนที่มีสิทธิจริงๆ

“ยืนยันว่าเรื่องนี้ต้องไปเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด อย่าไปอำนวยประโยชน์ให้ใคร ซึ่งใครที่มีปัญหาก็ต้องจัดการกันตามกฏหมาย ไม่มีสิทธิที่จะไปคุ้มครองได้ จึงอยากให้ดูตามความเป็นจริง”

ส่วนปัญหาที่ไม่ยอมรับแผนที่ One Map ตอนนี้ก็คิดว่าดีขึ้นแล้ว เพราะที่ประชุม คทช. ได้พูดคุยกับหลายส่วนไม่ว่าจะเป็น ส.ป.ก. เขตอุทยาน, เขตอุทยานชายฝั่ง และกรมที่ดิน ซึ่งตนก็พยายามให้ทุกฝ่ายได้คุยกัน ซึ่งขณะนี้ในคณะกรรมการ คทช. ก็มีความเข้าใจกันมากขึ้น

ส่วนเรื่องนี้จะมีคนผิดหรือไม่มีคนผิด ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าเราอยากให้มีคนผิด หรืออยากให้มีคนถูก หากข้อเท็จจริงถูก ก็ต้องว่าถูก