ในทุกฤดูกาลของเกษตรไทย เรามักพูดถึง “ฝนดี–ฝนแล้ง” เหมือนโชคชะตาเป็นคนตัดสินผลผลิต แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ตัดสินอนาคตของเกษตรกรไม่ใช่ปริมาณน้ำที่ฟ้าให้… แต่อยู่ที่ “เราจัดการกับน้ำที่มีอย่างไร”
ประเทศไทยมีฝนเฉลี่ยปีละกว่า 1,600 มิลลิเมตร แต่เรากักเก็บน้ำได้ไม่ถึงหนึ่งในสาม น้ำที่เหลือไหลลงทะเลไปพร้อมความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน เราจึงวนเวียนอยู่ในวงจรเดิม — หน้าแล้งขาดน้ำ หน้าฝนท่วมแปลง
น้ำมีมาก…แต่ใช้ไม่พอ
หลายพื้นที่ไม่ได้ขาดน้ำเพราะฝนไม่ตก แต่เพราะไม่มีระบบเก็บ ไม่มีการกระจายน้ำอย่างเหมาะสม
น้ำดีไหลผ่านเร็ว น้ำเสียขังนาน ดินจึงเสื่อม และผลผลิตลดลง “เรามีฝนมากพอจะหล่อเลี้ยงทั้งประเทศ
แต่เราขาดระบบที่หล่อเลี้ยงน้ำให้ถึงเกษตรกร”
น้ำที่ดีไม่ใช่แค่ “มีเยอะ”
น้ำที่มีปริมาณมากแต่คุณภาพต่ำก็สร้างปัญหาได้เช่นกัน
น้ำที่มีเกลือปนมากเกินไปจะทำให้ดินแข็ง
น้ำที่มีสารเคมีตกค้างจากพื้นที่ต้นน้ำจะทำลายจุลินทรีย์ในดิน และเมื่อดินเสีย…พืชก็จะเสียตาม
เพราะฉะนั้น “น้ำดี” ต้องทั้งสะอาด เคลื่อนไหวได้ และกระจายอย่างเป็นธรรมในพื้นที่
การจัดการน้ำเริ่มจากคน ไม่ใช่เขื่อน
ไม่ต้องรอให้รัฐสร้างอ่างใหม่ เกษตรกรสามารถเริ่มบริหารจัดการน้ำระดับแปลงได้เอง เช่น
• ทำคันนา และทางระบายน้ำให้เหมาะกับพื้นที่
• ขุดบ่อพักน้ำขนาดเล็กไว้เก็บฝน
• ใช้น้ำหมุนเวียนจากฟาร์มปศุสัตว์หรือบ่อเลี้ยงปลา
• ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อลดการสูญเสียน้ำ
น้ำทุกหยดที่เก็บไว้ คือเวลาอีกหลายวันของชีวิตในฤดูแล้ง
น้ำกับความยั่งยืน
น้ำไม่ใช่แค่ปัจจัยการผลิต แต่คือปัจจัยการ “อยู่รอด” ไม่มีดินดีใดจะคงอยู่ได้ถ้าไม่มีน้ำ และไม่มีเกษตรกรคนใดทำเกษตรได้ต่อเนื่อง
ถ้าน้ำขาดหรือจัดการไม่เป็น
“น้ำไม่เลือกพื้นที่…แต่มนุษย์เลือกว่าจะใช้น้ำอย่างไร” ความยั่งยืนของเกษตรไทย ไม่ได้อยู่ที่ฝนตกมากหรือน้อย แต่อยู่ที่เรารู้คุณค่าน้ำทุกหยดมากแค่ไหน





