ครม.เคาะเพิ่มเงินเยียวยาพื้นที่น้ำท่วมขังนานสูงสุดเกิน 4 เดือน ได้อีกครัวเรือนละ 20,000 บาท

18 พ.ย 2568 ครม.มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 6,169,986,000 บาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้
เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้ตามที่กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภัยเสนอ

thumb

เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ มีความรุนแรงก่อให้ความเสียหายกับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างรุนแรง และในคราวประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.)ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้มีการศึกษาหารือแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน กระทรวงมหาดไทย ได้เสนอขอค่าช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย ในกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อยู่อาศัยประจำ
เป็นกรณีพิเศษต่อคณะรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้เสนอของบประมาณและกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินดังกล่าว ดังนี้

หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568

หลักเกณฑ์

  1. เป็นกรณีอุทภภัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยประจำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15พฤษภาคม 2568 ในกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำจนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและไม่สามารถประกอบอาชีพปกติ ทำให้ขาดรายได้
  2. เป็นที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัย และได้รับผลกระทบกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    (1) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 31-60 วัน
    (2) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 61-90 วัน
    (3) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 91-120 วัน
    (4) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป

เงื่อนไข

  1. ต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และ
    (1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 30) และ
    (2) ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และ
    (3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)
  2. กรณีที่ประสบภัยหลายครั้ง ให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว

อัตราการจ่ายเงิน

  1. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (1) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
  2. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (2) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท
  3. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (3) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท
  4. กรณีที่อยู่อาศัยประจำตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (4) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท

โดยขออนุมัติหลักการในการดำเนินการดังกล่าว และให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169,986,000 บาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม2568 เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้

ประโยชน์และผลกระทบ


ครัวเรือนผู้ประสบภัย จำนวน 171,302 ครัวเรือน จำนวน 22 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชัยนาท ชัยภูมิ นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ศรีสะเกษ สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี อ่างทอง อุดรธานี และจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว