เช้าวันนั้น ผมนั่งอยู่ท้ายห้องประชุม
ฟัง ดร.บุญญานาถ นาถวงษ์ จากสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย พูดถึงสิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า…
ประเทศไทย คือหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดเมล็ดพันธุ์เขตร้อนของโลก
ไม่ใช่คำพูดโอ้อวด
แต่เป็นความจริงที่พวกเราไม่ค่อยได้พูดถึง
ดร.บุญญานาถ เล่าว่า การส่งออกเมล็ดพันธุ์ของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกโดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ผักหลากหลายชนิด และในปี 2567 ไทยส่งออกเมล็ดพันธุ์มูลค่ากว่า 12,150 ล้านบาท
ผมนั่งฟังแล้วรู้สึกภูมิใจแทนคนไทยทั้งประเทศ
เรามีดินแดนที่เหมาะแก่การผลิตเมล็ดพันธุ์
มีเกษตรกรที่มีฝีมือมาก
และมีนักวิจัยที่ทำงานหนักเบื้องหลัง
เพื่อให้เมล็ดทุกเมล็ดที่ส่งออกไป “งอกดี ให้ผลดี ทุกที่ในโลก”
แต่สิ่งที่ทำให้ผม “สะดุดใจ”
คือคำพูดของท่านประโยคหนึ่ง…
“การที่ไทยจะเป็น World Tropical Seed Hub ให้ได้จริง เทคโนโลยี GEd จะเป็นตัวเร่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ๆ ให้ตรงความต้องการของเกษตรกรและตลาด”
เพราะอะไร?
เพราะโลกกำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ พืชต้องทนร้อนขึ้น ทนแล้งขึ้น ทนโรคมากขึ้น และเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม (GEd) คือวิธีที่ทำให้เราพัฒนาพันธุ์ได้ “เร็วกว่าเดิมหลายเท่า”
มันเหมือนมี ‘คัตเตอร์ลับคม’ ที่ทำให้ช่างฝีมือไทย
สร้างพันธุ์ใหม่ที่เหมาะกับเขตร้อน ได้ก่อนใครในโลก
ดร.บุญญานาถ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “การแข่งขันในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่ปลูกได้มากที่สุด
แต่คือ ใครมีพันธุ์ที่ตอบโจทย์โลกได้เร็วที่สุด”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
ผมเข้าใจเลยว่า เทคโนโลยี GEd ไม่ได้เป็นแค่เรื่องวิทยาศาสตร์ แต่มันคือ “อนาคตเศรษฐกิจของไทย”
อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ของไทย มีโครงสร้างพร้อมแล้วหลายอย่าง เรามีบริษัทที่ทำ R&D จริงจัง มีโรงงานผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาตรฐานสากล
มีเกษตรกรที่มีทักษะสูงในการทำ seed production และมีพื้นที่ปลูกที่ไม่มีในยุโรปหรืออเมริกา
สิ่งที่เราต้องการเพิ่ม คือการใช้เทคโนโลยีเท่าที่โลกใช้ และสร้างกติกาที่ชัดเจน โปร่งใส เพื่อให้บริษัทไทยมีความมั่นใจในการลงทุน
ถ้าเราทำได้ ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์แต่จะเป็น “ศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์เขตร้อนของโลก” หรือที่เขาเรียกกันว่า World Tropical Seed Hub
นี่ไม่ใช่คำฝัน
เพราะหลายบริษัทในไทย
เริ่มวิจัย GEd อยู่แล้ว
เพียงรอ “สัญญาณและกติกาที่ชัดเจน” จากประเทศเท่านั้น
ผมนั่งจดคำพูด ดร.บุญญานาถ เงียบ ๆ แล้วคิดตามแบบคนธรรมดาคนหนึ่ง
ไทยมีทุกอย่างพร้อม
ทั้งดิน
ทั้งฝีมือ
ทั้งนักวิจัย
ทั้งอุตสาหกรรม
ทั้งโอกาสในตลาดโลก
สิ่งที่เราต้องการ
อาจมีเพียงสองอย่าง
ความเข้าใจที่ถูกต้องและความร่วมมือกันระหว่างรัฐ–นักวิจัย–เอกชน–เกษตรกร
เมื่อเรามีสองอย่างนี้
เราจะได้เห็นวันหนึ่งที่เมล็ดพันธุ์ไทย งอกอยู่ทั่วโลกพร้อมชื่อประเทศไทยเล็ก ๆ อยู่บนซองเมล็ดนั้น
และวันนั้น…
ผมว่าเราจะภูมิใจกันทั้งประเทศ





