ผมนั่งฟังคุณสุกรรณ์ สังข์วรรณะ ตัวแทนเกษตรกรเล่า…แล้วรู้สึกเหมือนฟัง “ประวัติศาสตร์อีกด้านของเกษตรไทย”
เขาเป็นเกษตรกรรุ่นใหญ่ เรียนด้านพันธุศาสตร์พืชมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ กลับมาเป็นเกษตรกร ตั้งใจว่า
“สักวันหนึ่ง…ไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ด้านพืชจริง ๆ”
แต่วันนั้น…มันมาช้ากว่าที่เขาคิดมาก
คุณสุกรรณ์เล่าว่า แม้ตอนเรียนประเทศไทยจะโดดเด่นในเอเชียด้านวิทยาศาสตร์พืช แต่เมื่อกลับมา ก็เห็นแต่การต่อต้าน แปลงทดลองถูกทำลาย ครูบาอาจารย์ถอดใจ กฎหมายเดินหน้าไม่ได้เพราะคนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร ค้านหนักมาก
เขาบอกประโยคหนึ่งแบบตรง ๆ ว่า “ผมเป็นเกษตรกร ผมก็อยากใช้เทคโนโลยีดี ๆ นะ แต่รอมาตลอดชีวิต ก็ยังไม่ได้ใช้สักที”
ในปี 2558 เขาไปเรียนรู้ที่สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง กลับมาไทยก็พยายามผลักดันกฎหมายด้าน GMOs แต่ก็ไม่สำเร็จ
สิบปีผ่านไป โลกเปลี่ยน
เทคโนโลยีก็ก้าวหน้าไปอีกขั้น
วันนี้เรามี GEd – Genome Editing ที่ไม่ใช่การเอายีนสิ่งมีชีวิตอื่นมาใส่ แต่เป็นการ “ปรับดีเอ็นเอของพืชต้นนั้นเอง” ให้ทนแล้ง ทนโรค เหมาะกับสภาพอากาศที่วิกฤตขึ้นทุกปี
คุณสุกรรณ์พูดด้วยความหวังว่า “คราวนี้เทคโนโลยีมันเคลียร์ขึ้น ไม่มีเรื่องยีนต่างชนิดมาปนให้คนกังวล
ผมหวังจริง ๆ ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรอย่างเรา ในยุคที่อากาศมันโหดขึ้นทุกปีแบบนี้”
เขาย้ำอีกว่า…
เกษตรกรเองก็เป็น ผู้บริโภค
เรากินเหมือนคนอื่น
เราย่อมไม่ยอมปลูกสิ่งที่ไม่ปลอดภัย
และสิ่งที่ทำให้เขาภูมิใจที่สุดคือ ลูกของเขาเองเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์นี้ต่อ และเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เพราะเชื่อในพลังของวิทยาศาสตร์เหมือนพ่อ
“ผมแก่แล้ว แต่ผมยังเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์
และอยากเป็นสักส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยผลักดันให้ไทยก้าวไปข้างหน้า ในแบบที่เกษตรกรได้ประโยชน์จริง ๆ
ไม่ใช่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนายทุนเหมือนที่เคยเจอ”
ผมนั่งฟังแล้วเงียบไปพักใหญ่ เพราะนี่คือ “เสียงจริงของเกษตรกร” ที่มีทั้งความเจ็บช้ำ—ความหวัง—และความเชื่อมั่นในอนาคต
และมันทำให้ผมคิดได้ว่า…
เกษตรกรไทยไม่ได้กลัวเทคโนโลยี
เขาแค่ “ไม่เคยได้โอกาสใช้มันเลย” ต่างหาก
วันนี้ เมื่อโลกมีเทคโนโลยีที่ปลอดภัยกว่าเดิม ชัดเจนกว่าเดิม และองค์กรกำกับดูแลเข้มงวดกว่าเดิม
บางที…นี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
ที่ประเทศไทยจะให้เทคโนโลยีอยู่ข้างเกษตรกร
แทนที่จะถูกขวางไว้ตลอดเหมือนที่ผ่านมา





