เวลาเดินทางไปต่างประเทศ
หลายคนมักเห็น ผักหรือผลไม้ที่ดูน่ากิน สด สวย และแปลกตา
บางคนคิดว่า เอากลับมาแค่เล็กน้อย เอามากินเอง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่ตาม พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507
ผัก ผลไม้ และเมล็ดพันธุ์
ทั้งหมดนี้ ถือเป็น “พืช” ตามกฎหมาย
ตามกฎหมาย คำว่า “พืช” ไม่ได้หมายถึงเฉพาะต้นพืชที่ปลูกในแปลง
แต่รวมถึง ผักและผลไม้สด เมล็ดพันธุ์ ส่วนของพืช เช่น กิ่ง ใบ ราก และซากของพืช
เพราะศัตรูพืช อาจติดมากับ ผิวผลไม้ ซอกใบ เมล็ด หรือดินเล็กน้อยที่มองไม่เห็น
ถ้านำผักหรือผลไม้จากต่างประเทศเข้ามา จะเกิดอะไรขึ้น
หากผักหรือผลไม้จากต่างประเทศ ไม่ได้ผ่านการตรวจตามกฎหมาย ศัตรูพืชจากประเทศต้นทาง อาจติดเข้ามาในประเทศได้
เมื่อศัตรูพืชเข้ามาแล้ว
อาจแพร่กระจายไปยังแปลงปลูก โดยที่ไม่รู้ตัว
ผลที่เกิดขึ้นคือ พืชในประเทศเกิดโรคหรือการระบาด
การควบคุมทำได้ยาก เกิดความเสียหายต่อเกษตรกรและการผลิตพืช
ในทางกลับกัน หากประเทศไทยไม่ควบคุมการนำผักและผลไม้เข้าประเทศ ศัตรูพืชจากต่างประเทศ อาจหลุดเข้ามาได้ง่าย
และหากเราไม่จัดการศัตรูพืชของเราเอง
ผัก ผลไม้ หรือสินค้าเกษตรจากประเทศไทย
ก็อาจถูกประเทศอื่นปฏิเสธเช่นกัน
ผลกระทบที่ตามมา คือ
การส่งออกได้รับผลกระทบ
ความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยพืชลดลง
กระทบภาพรวมการเกษตรของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ผักและผลไม้จากต่างประเทศ แม้จะดูน่ากิน และตั้งใจเอามากินเอง
ก็ยังต้องอยู่ภายใต้ การตรวจและควบคุมตามพระราชบัญญัติกักพืช
ไม่ใช่เพื่อความยุ่งยาก แต่เพื่อ ป้องกันความเสี่ยง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับพืชในประเทศ
สรุปให้เข้าใจง่าย
ผัก ผลไม้ เมล็ดพันธุ์ จากต่างประเทศ = พืชตามกฎหมาย
เอาเข้ามาโดยไม่ตรวจ → ศัตรูพืชอาจหลุดเข้า
ศัตรูพืชหลุดเข้า → พืชในประเทศเสียหาย
ถ้าไม่จัดการของเรา → กระทบประเทศอื่น
กฎหมายกักพืช = การป้องกันก่อนเกิดปัญหา





