“ห่านหัวสิงโต” หรือที่คนจีนเรียกว่า ไซเท้า (Shitou) ซึ่งมีความหมายว่า “หัวสิงโต” (ไซ หมายถึง โต เท้า หมายถึงหัว) ห่านหัวสิงโตเป็นหนึ่งใน 12 พันธ์ห่านพื้นเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นห่านที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลกพันธุ์หนึ่ง โดยห่านหัวสิงโตเพศผู้ โตเต็มที่หนัก 10 – 12 กิโลกรัม ส่วนห่านหัวสิงโตเพศเมียหนัก 8 – 9 กิโลกรัม เหมาะที่จะเลี้ยงเป็นห่านเนื้อ

ลักษณะทั่วๆไปของห่านหัวสิงโต
“ห่านหัวสิงโต” มีลักษณะทั่วๆไปทั้งเพศผู้และเพศเมีย มีดังนี้
หัว สีเทาดำ หัวเพศผู้จะใหญ่กว่าเพศเมีย
ปาก สีดำ ใต้ปากล่างจะมีหนังนิ่มๆยานลงมายาวไปตามรูปหัวถึงต้นคอ จึงดูคล้ายหัวสิงโต
คอ สีขาวมีเส้นสันสีเทาหรือเทาน้ำตาลอ่อนยาวตั้งแต่หัวถึงต้นคอ คอใหญ่แต่สั้นกว่าห่านจีน
เท้า สีส้ม
ลำตัว คล้ายห่านอัฟริกา ขนบนลำตัวด้านบนสีเทา
ขนท้อง ถึงก้นสีขาว
ขนาด เพศผู้มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย

จากห่านเมืองจีนสู่ประเทศไทยใต้ร่มเงาพระบารมี
ปีพ.ศ.2551 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวาย ไข่ห่านหัวสิงโต หรือ Shitou Goose (ห่านไซเท้า) จากประเทศจีน จำนวน 100 ฟอง ทรงพระราชทานให้ กรมปศุสัตว์ นำไปฟักและขยายพันธุ์
กรมปศุสัตว์ฟูมฟักจนได้ลูกห่านหัวสิงโตทั้งสิ้น 31 ตัว เป็นเพศผู้ 17 ตัว เพศเมีย 14 ตัว ต่อมาปี 2551 ได้ขยายฝูงไปยังฟาร์มตัวอย่างต่างๆ จำนวน 1,039 ตัว เพื่อเลี้ยงและทำเป็นผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเก็บไว้เป็นต้นพันธุ์เพื่อรักษาและพัฒนาพันธุ์

ปัจจุบันมีพ่อแม่พันธุ์ทั้งสิ้น 93 ตัว เป็นเพศผู้ 47 ตัว เพศเมีย 46 ตัว เลี้ยงอยู่ที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ จังหวัดขอนแก่น
ในงาน สีสรรพรรณไม้ เทิดไท้บรมราชินีนาถ ปีนี้ กรมปศุสัตว์นำ “ห่านหัวสิงโต” ตัวเป็นๆ มาจัดแสดงให้ชมอย่างใกล้ชิด พร้อมกับนำเสนอผลงานการศึกษาแปรรูปเนื้อห่านหัวสิงโตเป็นอาหาร เพื่อเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในโครงการพระราชดำริ

ท่านรองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายพงษ์พันธ์ ธรรมมา บอกว่า ”ห่านหัวสิงโต“ เป็นห่านที่มีขนาดใหญ่ นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย มีรสชาติดีมาก

เช่น “เกี๊ยวห่านหัวสิงโต” เมนูสะท้อนกลิ่นไอราชสำนักจีนโบราณ คัดเฉพาะส่วนเนื้อแน่น นุ่ม นำมาบดละเอียดผสมเครื่องเทศ ห่อเป็นทรงพิเศษขนาดใหญ่ สื่อถึงความหรูหราและเกียรติยศ
“ห่านหัวสิงโตพะโล้” หนึ่งในเมนูระดับตำนาน ที่ถ่ายทอดความหรูหราและวัฒนธรรมจีนโบราณผ่านทุกขั้นตอนการปรุงอย่างประณีต โดยเลือกใช้ห่านสายพันธุ์ดี หมักกับเครื่องเทศจีนแก้กว่า 10 ชนิด เช่น โป๊ยก๊ก อบเชย กานพลู ผงพะโล้ เหล้าจีนและสมุนไพรหอมสูตรพิเศษ เพื่อให้ซึมเข้าเนื้ออย่างทั่วถึง

จากนั้นตุ๋นช้า ๆ ในน้ำพะโล้เคี่ยวจนได้เนื้อห่านที่นุ่ม ชุ่มฉ่ำ หนังตึงเด้ง มีกลิ่นหอมเครื่องเทศอ่อน ๆ ที่ลงตัว รสชาติกลมกล่อมไม่เค็มหรือหวานจนเกินไป เวลาจัดเสิร์ฟ จะหั่นห่านเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ จัดเรียงอย่างสวยงาม โรยผักชีสดและพริกไทยดำบดหยาบ เพิ่มกลิ่นหอม ก่อนราดน้ำพะโล้ขลุกขลิกเพื่อเสริมรสชาติในทุกคำ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสตำนานแห่งรสชาติอย่างแท้จริง”

“ขุนพิเรนทร์” ไปงานสีสรรพรรณไม้ฯได้ชิมเมนูเลิศรสทั้งสองเมนู อร่อยสุดๆ ครับ
งานสีสรรพรรณไม้ฯ จัดถึงวันที่ 13 สิงหาคมนี้ที่ สวนจากภูผาสู่มหานที กรุงเทพมหานคร บูธกรมปศุสัตว์จะอยู่ด้านหน้าติดกับ จุดลงทะเบียนแจกของที่ระลึก (ขุนพิเรนทร์ก็แจกลำไยอยู่ติดกันนั่นหละครับ เห็นห่านเดินไปเดินมา คิดถึงห่านพะโล้ทุกที)

ปล.แม่งานหลักของกรมปศุสัตว์อย่าง ”ดร.เล็ก“ ดร.อำพล วริทธิธรรม ผู้อำนวยการกองผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ บอกว่า ”ตอนเป็นเด็กชื่อ”ใหญ่” ที่บ้านเลี้ยงห่าน ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายไม่ระมัดระวังเลยโดนห่านที่เลี้ยงไว้แหบ (กัด) หลังจากนั้นเลยต้องเปลี่ยนเป็นชื่อ”เล็ก” มาจนทุกวันนี้




