ผมเคยเห็นเกษตรกรหลายคน
ยืนมองหัวมันที่ยกขึ้นจากดิน…แล้วถอนหายใจ
ไม่ใช่เพราะปลูกไม่ดี แต่เพราะ หัวลงไม่ได้ — ดินแข็งค้ำอยู่ลึกลงไป 30–40 เซนฯ ตอนนั้นเอง ผมเริ่มตั้งคำถามง่าย ๆ “ถ้าชั้นดานคือประตูปิด รากจะเดินต่อยังไง?”
1) จุดเริ่ม — รถมี แต่ไถไม่มี
ในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่ รถแทรกเตอร์ที่มีในครัวเรือนคือ 49–50 แรงม้า แต่ไถระเบิดดินดานที่ใช้กัน ต้องใช้รถใหญ่ — ราคาแพง — รับจ้างมาน้อย — รอบงานไม่คุ้ม เหมือนมี “ขาเดิน” แต่ออกนอกหมู่บ้านไม่ได้ เพราะ ยังไม่มีไถที่เหมาะกับรถที่มี
2) งานวิจัยเริ่มที่ปลายเหล็ก — ไม่ใช่ที่กระดาษ
ผมจึงเริ่มออกแบบไถเอง
ตั้งแต่ ขาไถขนาด 1 เมตร, ปลายขาไถมุมจิก 30°,
หัวจิกกว้าง 3.81 ซม. แบบ 2 ขา + ปีกสองข้าง
เพื่อให้ รถ 49–50 แรงม้า “จิกลงล่างได้ถึง” แทนแค่วิ่งไปหน้า
ผลทดสอบในแปลงจริงที่ขอนแก่น แตกชั้นดานลงลึกเฉลี่ย 41 ซม. ความสามารถ 2.42 ไร่/ชม — น้ำมันเฉลี่ย 3.56 ลิตร/ไร่
วันนั้นผมไม่ได้ดีใจที่เหล็กไม่บิด แต่ดีใจที่ รถที่ชาวบ้านมีอยู่แล้ว…เริ่มเปิดชั้นดานได้เอง
3) ทำแค่ให้ถึง — ที่เหลือให้ดินกับหัวมันทำงาน
เมื่อไถ “จิกถึง” ดินล่างที่เคยถูกบีบแน่น แตกตัวเป็นโพรงตามแนวขาไถ น้ำลงได้ลึกขึ้น อากาศเดินได้ หัวมันมีพื้นที่ลงขยายตัว
จากฤดูกาลที่ทดลองกับชาวไร่
ผมเห็นด้วยตา — หัวลงลึกขึ้น ขยายตัวดีขึ้น น้ำหนักขึ้น หลายแปลง ผลผลิตเพิ่ม 20–30% (ประสบการณ์ภาคสนาม)
4) สิ่งที่เกษตรกรได้กลับมา — แบบจับต้องได้
แตกชั้นดาน → หัวลงลึก → น้ำหนักหัวเพิ่ม
ชั้นดานเปิด → ดินล่างช่วยเลี้ยงหัวในหน้าแล้งได้มากกว่าเดิม
รถที่มีอยู่แล้ว → ทำเองได้ → ลดค่าจ้างรถใหญ่
หัวขึ้นสม่ำเสมอทั้งแปลง → เก็บได้เต็มกว่า เสียน้อยลง
ประโยคเดียวจำง่ายที่สุดคือ
“เปิดครั้งเดียวให้ถึง — หัวจะลงต่อเองหลายฤดู”
5) ปิดงาน — จากชั้นดาน สู่หัวมัน
ตอนแรกผมบอกว่า ของดีลงไป แต่รากลงไม่ถึง ใช้ไม่ถึง ตอนนี้ผมขอปิดด้วยหนึ่งประโยคจากประสบการณ์ทำงาน
“การออกแบบไถให้ใช้กับรถแทรกเตอร์ 49–50 แรงม้าทำให้เกษตรกรเข้าถึงการปรับปรุงดินด้วยตนเองส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20–30% ในพื้นที่ใช้งานจริง”
หัวมันในมือเกษตรกร…
คือตัวเลขที่ดังที่สุด
ไม่ใช่เครื่องชั่งในห้องแล็บ





