มะเขือเทศมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในแถบเทือกเขาแอนตีสของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศเปรูและชิลี ในยุคแรกๆ มะเขือเทศถูกพบในสภาพธรรมชาติในป่าเขา และถึงแม้จะมีลักษณะที่สวยงาม แต่ชาวพื้นเมืองในสมัยนั้นไม่กล้ารับประทาน เนื่องจากคิดว่าเป็นผลไม้ที่มีพิษ
ในราวกลางศตวรรษที่ 15 ชาวสเปนและโปรตุเกสได้นำเอามะเขือเทศจากเปรูไปปลูกในยุโรป หลังจากนั้นมะเขือเทศก็ถูกนำไปปลูกในประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น อังกฤษ, ฝรั่งเศส, และเยอรมนี ในช่วงแรก มะเขือเทศมักถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวน เนื่องจากความสวยงามของผลและดอก
ต่อมามะเขือเทศได้รับการยอมรับและเริ่มเข้าสู่การบริโภคทั่วไปในหลายประเทศ จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในผักที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก และมีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วทุกมุมโลก ทั้งนี้ มะเขือเทศยังถูกพัฒนาพันธุ์ต่างๆ ทั้งขนาด รูปทรง และรสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
ในทางการทำอาหาร, มะเขือเทศถูกจัดประเภทเป็นผักเนื่องจากลักษณะรสชาติและวิธีการใช้งานที่เข้ากับการปรุงอาหารคาวมากกว่าอาหารหวาน ซึ่งต่างจากผลไม้ทั่วไป ดังนี้
1. รสชาติ มะเขือเทศมีรสชาติที่ไม่หวานจัด แต่มีความเปรี้ยวและสดชื่น ทำให้เหมาะกับการใช้ในอาหารคาวมากกว่าในขนมหวานหรือเป็นผลไม้ทานเล่น
2. การใช้งาน มะเขือเทศมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบหลักในสลัด ซอสต่างๆ เช่น ซอสมะเขือเทศ หรือในอาหารคาวเช่น แกง ซุป และอาหารจานหลัก ซึ่งเป็นลักษณะของการใช้ผักมากกว่าการใช้ผลไม้
3. การปรุงอาหาร การปรุงรสและการเตรียมมะเขือเทศเพื่อใช้ในอาหารมักเน้นไปที่ลักษณะที่เพิ่มความสดชื่น ความเปรี้ยว และเสริมรสชาติในอาหารคาว ซึ่งตรงกับลักษณะการใช้ผัก
แม้ว่าจากทางชีววิทยาแล้วมะเขือเทศจัดเป็นผลไม้ แต่เนื่องจากลักษณะในการปรุงอาหารและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มะเขือเทศจึงถูกนำไปใช้เป็นผักในการทำอาหาร
การปลูกมะเขือเทศ
การปลูกมะเขือเทศในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน – มกราคม) เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากอุณหภูมิและความชื้นส่งผลดีต่อการเจริญเติบโต อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 18 – 28 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยให้ต้นแข็งแรงและติดผลมาก หากต้องการปลูกมะเขือเทศในฤดูฝน ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
1. การเตรียมดิน มะเขือเทศชอบดินที่มีการระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง ควรเตรียมดินให้ซุยและร่วน อาจเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
2. การเลือกพื้นที่ปลูก ปลูกในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน เพราะมะเขือเทศต้องการแสงแดดเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี
3. การปลูก สามารถปลูกมะเขือเทศได้ทั้งในแปลงหรือในกระถาง ควรให้ระยะห่างเพียงพอเพื่อการเจริญเติบโตและการได้รับแสง
4. การดูแลรักษา คอยตรวจสอบเรื่องแมลงและโรคพืช รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรให้น้ำมากจนเกินไปเพื่อป้องกันรากเน่า
5. การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยสูตรสมดุล หรือสูตรเฉพาะสำหรับพืชผล เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตและการออกผล
การปลูกมะเขือเทศด้วยวิธีที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดี ทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งสำหรับการบริโภคในครัวเรือนและการจำหน่าย
การเก็บเกี่ยวมะเขือเทศ
ระยะเวลาจากการปลูกถึงเก็บเกี่ยว ปกติมะเขือเทศจะเริ่มออกดอกหลังจากย้ายปลูกได้ประมาณ 30-45 วัน และสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 70-90 วัน รวมเวลาที่ต้องการตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวประมาณ 4-5 เดือน
การเก็บเกี่ยวมะเขือเทศขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูก หากเป็นการปลูกเพื่อส่งตลาดสด ควรเก็บในระยะที่ผลไม่แก่จัด คือ ในระยะที่ผลเป็นสีเขียวและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูเล็กน้อย เพื่อให้ทนทานต่อการขนส่งและสามารถสุกเต็มที่เมื่อถึงมือผู้บริโภค
ผลมะเขือเทศที่จะส่งไปโรงงานอุตสาหกรรมควรเก็บเกี่ยวในระยะที่ผลสุกเต็มที่ มีสีแดงหรือสีส้มทั้งผล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับพันธุ์ของมะเขือเทศ
ปัญหาและอุปสรรคในการปลูกมะเขือเทศ
การปลูกมะเขือเทศมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่ต้องเผชิญ ปัญหาและอุปสรรคหลักๆ ในการปลูกมะเขือเทศ ได้แก่
1. โรคและแมลงศัตรูพืช มะเขือเทศเป็นพืชที่เสี่ยงต่อโรคพืชและการระบาดของแมลง เช่น โรคราน้ำค้าง, โรคไวรัสใบหงิก, และการรุกรานของแมลงหวี่ขาว ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำลายผลผลิตได้
2. สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม มะเขือเทศต้องการสภาพอากาศที่อบอุ่นและแสงแดดเพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น อุณหภูมิที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป และปริมาณน้ำฝนที่ไม่เพียงพอ สามารถส่งผลกระทบต่อการเติบโตและผลผลิต
3. การจัดการน้ำและความชื้น การจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสม ทั้งน้ำท่วมหรือขาดน้ำ สามารถส่งผลเสียต่อการเติบโตของมะเขือเทศ
4. การบำรุงรักษา มะเขือเทศต้องการการดูแลและบำรุงรักษาที่ต่อเนื่อง การขาดการบำรุงดูแลสามารถนำไปสู่ผลผลิตที่ต่ำและคุณภาพที่ไม่ดี
5. การเลือกพันธุ์ การเลือกพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นอาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต
6. การตลาดและการกระจายสินค้า มะเขือเทศเป็นพืชที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น การจัดการการขนส่งและการกระจายสินค้าที่ไม่ดีสามารถนำไปสู่การสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว
7. ความต้องการตลาด ความผันผวนของความต้องการในตลาดและราคาอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
ประโยชน์ของมะเขือเทศ
มะเขือเทศเป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่างทั้งในด้านโภชนาการและสุขภาพ ประโยชน์ของมะเขือเทศประกอบด้วย
1. แหล่งวิตามินและเกลือแร่ มะเขือเทศเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก ดังนี้ วิตามิน C มะเขือเทศเป็นแหล่งวิตามิน C ที่ดี ซึ่งมีความสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ช่วยในการรักษาระบบภูมิคุ้มกัน และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, วิตามิน K มีบทบาทสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด และช่วยในการรักษาสุขภาพของกระดูก, โพแทสเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท และช่วยควบคุมความดันโลหิต, โฟเลต มีประโยชน์ในการสร้างเม็ดเลือดแดง และมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและการพัฒนา
2. สารต้านอนุมูลอิสระ มะเขือเทศเป็นแหล่งสำคัญของสารไลโคปีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ โดยไลโคปีนในมะเขือเทศมีคุณสมบัติและประโยชน์ดังนี้
– สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ไลโคปีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โดยลดการอุดตันของหลอดเลือดและช่วยปรับปรุงระดับคอเลสเตอรอล
– การป้องกันโรคตา ไลโคปีนมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคตา เช่น โรคเสื่อมสภาพของจอประสาทตาที่เกิดจากอายุ
– การป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวหนัง ไลโคปีนสามารถช่วยป้องกันผิวหนังจากความเสียหายที่เกิดจากรังสียูวี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการแก่ก่อนวัย
3. สุขภาพทางเดินอาหาร มะเขือเทศเป็นแหล่งของไฟเบอร์ที่ดีซึ่งมีประโยชน์หลายด้านสำหรับสุขภาพทางเดินอาหาร
– การเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร ไฟเบอร์ในมะเขือเทศช่วยในการปรับปรุงการทำงานของระบบทางเดินอาหาร โดยเพิ่มปริมาณและคุณภาพของมูลในลำไส้ ช่วยป้องกันปัญหาท้องผูก
– การย่อยอาหาร ไฟเบอร์ในมะเขือเทศช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพและลดปัญหาอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย
– การป้องกันโรคทางเดินอาหาร การบริโภคไฟเบอร์ในปริมาณที่เพียงพอยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
– การดูดซึมสารอาหาร ไฟเบอร์ในมะเขือเทศสามารถช่วยในการดูดซึมสารอาหารบางชนิด โดยเฉพาะในกระบวนการดูดซึมสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ในร่างกาย