ข้อมูลชวนอึ้ง นักไวรัสวิทยา ชี้ “ฝีดาษลิง” ช่องทางแพร่เชื้อ ปล่อยได้แทบทุกทาง

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้โพสต์เกี่ยวกับ “ฝีดาษลิง” ว่า รายงานผลจากการตรวจหาเชื้อในตัวอย่างที่เก็บจากผู้ป่วย“ฝีดาษลิง” ที่เคยพบในอังกฤษ (ตั้งแต่ปี 2018-2021) แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่ระบาดในปัจจุบัน พบว่า ไวรัสสามารถพบได้ในหลายตัวอย่าง มากน้อยแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน

283190755 5613135928726283 8922618876534913588 n
โรคฝีดาษลิง

ปริมาณไวรัสที่พบได้มากที่สุดคือ ของเหลวจากตุ่มหนองหรือ แผลบนผิวหนัง ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยแทบทุกคนสามารถตรวจไวรัสพบในตัวอย่างที่เก็บมาจากทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งประกอบด้วยน้ำมูก น้ำลาย โดยปริมาณไวรัสมีมากกว่าที่ตรวจพบในกระแสเลือดและในผู้ป่วยบางรายสามารถตรวจเชื้อไวรัสพบได้ในตัวอย่างปัสสาวะด้วยเช่นกัน

ข้อมูลนี้บอกว่า “ไวรัสฝีดาษลิง” สามารถปลดปล่อยออกมาจาก “ผู้ป่วยได้หลายช่องทาง” การสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือตุ่มหนองมีความเสี่ยงสูงสุด แต่การรับเชื้อจากน้ำมูก น้ำลาย ทางเลือด หรือ ทางปัสสาวะในห้องน้ำ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เป็นข้อมูลให้เราระวังตั้งรับกับไวรัสตัวใหม่นี้นะครับ หน้ากากอนามัยที่กำลังจะถอดกันอาจจะจำเป็นหาก “ฝีดาษลิง”เข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นนะครับ

นอกจากนี้ ดร. อนันต์ ยังโพสต์ว่า บทความสั้น ๆ เกี่ยวกับ Monkeypox ในวารสาร JAMA ตีพิมพ์ออกมา มีข้อสังเกตนึงที่น่าสนใจครับ ผู้เชี่ยวชาญที่บอกว่า “ผู้ป่วยฝีดาษลิง” ในการระบาดปัจจุบันอาจมีการแสดงออกของอาการแตกต่างไปจากผู้ป่วย“ฝีดาษลิง” ที่เคยพบก่อนหน้านี้

ปกติอาการ “ฝีดาษลิง” มักจะเริ่มต้นด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ต่อมน้ำเหลืองโต ก่อนที่จะมีอาการผื่นและตุ่มหนองขึ้นที่ผิวหนังแต่ในกรณีที่พบในผู้ป่วยบางรายในการติดเชื้อตอนนี้ ไม่มีอาการอะไรนำมาก่อนที่จะมีอาการขึ้นที่ผิวหนัง คือ ถ้าไม่มีผื่นหรือตุ่มขึ้นก็ไม่รู้ต้วว่าตัวเองติดฝีดาษลิงมา

อีกข้อสังเกตนึงคือ ปกติตุ่มหนองของ “ฝีดาษลิง” จะพบที่ศีรษะหรือใบหน้า ก่อนลามลงมาที่ แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แต่เคสที่พบในปัจจุบันดูเหมือนจะแตกต่าง พบตุ่มหนองที่บริเวณใต้ร่มผ้า ก่อนจะลามออกมาให้เห็นที่บริเวณส่วนนอกของร่างกาย ซึ่งอาจจะทำให้สังเกตเห็นได้ยากกว่ากรณีปกติ

ลักษณะที่แตกต่างกันแบบนี้ยังไม่ชัดเจนจากข้อมูลของไวรัส เนื่องจากยังไม่สามารถตอบได้ว่ารหัสบางส่วนของสารพันธุกรรมของไวรัสในเคสปัจจุบันที่พบว่าแตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์ที่เคยพบระบาดในคน จะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร จำเป็นต้องเก็บข้อมูลหาความสัมพันธ์มากขึ้น