(4 พฤศจิกายน 2568) ผักคะน้าที่ปลูกไว้บนแปลงผักยกแคร่ที่เห็นอยู่นี้ เป็นหนึ่งในผลผลิตของ “วิสาหกิจชุมชนผักยกแคร่ปลอดสารพิษ อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา” มี นายณรงค์ ไพยเคียน เป็นประธานกลุ่มฯ นายณรงค์ เล่าว่า ตนเริ่มทำผักยกแคร่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จากการชักชวนของสำนักงานเกษตรอำเภอคลองหอยโข่ง จากนั้นได้เข้าศึกษาอบรมที่ฟาร์มคลองหอยโข่ง ภายใต้โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร ผ่าน 3 กิจกรรมหลัก คือ การปลูกผักยกแคร่ การเลี้ยงผึ้งโพรง/ ชันโรง และการปลูกมะพร้าวน้ำหอม หลังได้รับความรู้ตนมีความสนใจเรื่องการทำ “ผักยกแคร่” จึงนำมาทดลองปลูกเองที่บ้าน ต่อมาพัฒนาการจังหวัดได้เข้ามาส่งเสริมต่อยอดผ่านโครงการขยายผลฟาร์มตัวอย่าง “การปลูกผักยกแคร่” เริ่มต้นนำร่อง 10 ครัวเรือน ซึ่งตนเป็นหนึ่งในนั้น ก่อนจะรวมกลุ่มและจดทะเบียนเป็น “วิสาหกิจชุมชนผักยกแคร่ปลอดสารพิษ” ในปี พ.ศ. 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้ทั้งในพื้นที่ของกลุ่มและยังเป็นวิทยากรให้ฟาร์มตัวอย่างขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ ด้วย
นายณรงค์ บอกว่า ฟาร์มคลองหอยโข่งได้ถ่ายทอดเทคนิคที่สามารถปลูกผักได้ทุกฤดูกาล โดยข้อดีของ “ผักยกแคร่” คือมีหลังคาคลุมและยกพื้นสูงประมาณ 60–70 เซนติเมตร ช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมและศัตรูพืช เช่น หนอนและหอยทากที่อาศัยอยู่ในดิน อีกทั้งยังสามารถปลูกได้แม้ในพื้นที่ดินแข็งหรือดินแห้ง ทำให้ดูแลรักษาง่ายและสะดวกกว่าเดิม ซึ่งสามารถช่วยให้เกษตรกรมีผักปลอดภัยไว้กินไว้ขาย เป็นรายได้เสริมจากการทำสวนยางพารา ซึ่งเป็นอาชีพหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่ราคายางพาราตกต่ำ ก็สามารถปลูกผักจำหน่ายเพื่อจุนเจือครอบครัว ทางกลุ่มมีการปลูกผักหลายชนิด เน้นผักตามความต้องการของตลาดส่วนใหญ่นิยมปลูกผักคะน้าเป็นหลัก เนื่องจากได้น้ำหนักดี ราคาดีกว่า นอกจากนี้ยังปลูกผักบุ้ง ผักสลัด พริก มะเขือ ส่งขาย ทั้งในตลาดนัดละแวกบ้าน ขายผ่านพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อ ส่วนการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ที่ผ่านมาได้รับการช่วยเหลือจากสำนักงานเกษตรอำเภอคลองหอยโข่ง และสำนักงานเกษตรจังหวัดสงขลา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร รวมถึงหน่วยอารักขาพืช ต่างเข้ามาให้คำแนะนำด้านโรคพืชและการจัดการธาตุอาหารพืชอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น มีรายได้ที่มั่นคงสามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและส่งเสียลูกเรียนได้อย่างไม่ขัดสน
.
นายณรงค์ ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนรู้สึกปลาบปลื้มใจ มากจนพูดไม่ออก ความรู้สึกนี้มีมาตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเคยมีพระราชดำรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ข้าพเจ้าจะเป็นป่า” เพื่อช่วยบำรุงรักษาและสร้างประโยชน์แก่พสกนิกรทุกคน ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนเพื่อประชาชน แม้แต่เรื่องน้ำ เมื่อก่อนพื้นที่คลองหอยโข่งแห้งแล้งและทุรกันดาร แต่หลังจากมีอ่างเก็บน้ำที่พระองค์ท่านทรงโปรดให้สร้าง พื้นที่ก็ไม่เคยขาดแคลนน้ำอีกเลย ซึ่งน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกษตร ฟาร์มตัวอย่างจึงเป็นเสมือนแหล่งเรียนรู้ที่ช่วยให้ชุมชนรอบข้างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
