เมื่อพูดถึงการ “ส่งออกพืช” หลายคนอาจคิดว่า พืชของเราปลูกในประเทศดูแลอย่างดีก็น่าจะส่งออกได้เลย แต่ในความเป็นจริง การส่งออกพืชไม่ได้ดูแค่คุณภาพหรือความสวยงาม
สิ่งที่ประเทศปลายทางกังวลมากที่สุด คือ ศัตรูพืชที่อาจติดไปกับพืชจากประเทศผู้ส่งออก ทำไมประเทศปลายทางถึงตั้งเงื่อนไข ทุกประเทศต้องปกป้องพืชของตัวเองเหมือนกับที่ประเทศไทยต้องปกป้องพืชของเรา ประเทศปลายทาง จึงกำหนดเงื่อนไขด้านสุขอนามัยพืช เพื่อให้มั่นใจว่า
พืชที่นำเข้าไม่มีศัตรูพืชติดไปด้วย
แล้วประเทศไทยต้องทำอะไร
ตาม พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 การส่งออกพืช ต้องผ่านการตรวจและต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ประเทศปลายทางกำหนด เจ้าหน้าที่ตรวจพืชของไทยทำหน้าที่ตรวจสอบว่าพืชที่จะส่งออก เป็นไปตามเงื่อนไขนั้นหรือไม่หากผ่านการตรวจ จึงออกเอกสารรับรอง เพื่อใช้ประกอบการส่งออก
ถ้าไม่ตรวจ จะเกิดอะไรขึ้น
หากพืชส่งออกไม่ได้ผ่านการตรวจ หรือไม่ตรงตามเงื่อนไขของประเทศปลายทาง
ผลที่เกิดขึ้นคือ พืชถูกปฏิเสธที่ด่านปลายทาง ต้องส่งกลับ หรือถูกทำลายเกิดความเสียหายกับผู้ส่งออก
ความเสียหายนี้ ไม่ได้กระทบแค่รายเดียว แต่กระทบภาพรวมการส่งออกพืชของประเทศ ในทางกลับกันหากประเทศไทยไม่ควบคุมศัตรูพืชของเราเอง ศัตรูพืชจากประเทศไทยอาจติดออกไปสร้างปัญหาให้ประเทศอื่น
เมื่อเกิดเหตุซ้ำๆ ประเทศปลายทาง อาจเพิ่มความเข้มงวด หรือจำกัดการนำเข้าพืชจากประเทศไทย
เพราะเหตุนี้ การตรวจจึงสำคัญ การตรวจพืชก่อนส่งออก ไม่ใช่การสร้างภาระ แต่เป็นด่านสุดท้ายก่อนออกจากประเทศที่ช่วยยืนยันว่า พืชของไทยปลอดภัยสำหรับประเทศปลายทาง การตรวจที่ถูกต้องช่วยให้พืชไทยผ่านด่านได้ การค้าดำเนินต่อเนื่องความเชื่อมั่นต่อสินค้าเกษตรไทยยังคงอยู่
สรุปให้เข้าใจง่าย
ประเทศปลายทางตั้งเงื่อนไข เพื่อปกป้องพืชของเขา ไทยต้องตรวจพืชให้ตรงตามเงื่อนไขนั้น
ไม่ตรวจ หรือไม่ตรง → พืชถูกปฏิเสธ
การตรวจ = ใบเบิกทางให้พืชไทยขายได้
กฎหมายกักพืช ช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของประเทศ





