“ถั่วพิสตาชิโอ” (Pistachio) คือ เมล็ดจากต้นพิสตาชิโอในตระกูลถั่วเปลือกแข็ง มีสีเขียวสวยงาม มีรสชาติมันเค็ม (เมื่ออบเกลือ) หรือมันหอม (เมื่ออบธรรมดา) เป็นที่นิยมเพราะมีไฟเบอร์สูง มีไขมันดี วิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยให้อิ่มนาน บำรุงสุขภาพหัวใจ ลำไส้ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีขายทั้งแบบอบเกลือ อบธรรมชาติ หรือแบบดิบ (กระเทาะเปลือก) สามารถรับประทานเล่นหรือใช้เป็นส่วนประกอบในขนมได้หลากหลาย

ลักษณะเด่น
- ไม่ใช่ถั่วทั่วไป: ถึงชื่อเป็น “ถั่ว” แต่เป็นเมล็ดจากต้นไม้ (ไม้ผลัดใบ) ไม่ใช่พืชตระกูลถั่วล้มลุก
- สีสัน: เมล็ดมีสีเขียวอมม่วง มีเปลือกแข็งสีขาว
- รสชาติ: หอมมัน กรอบ มีรสชาติเฉพาะตัว เมื่ออบเกลือจะเค็มกำลังดี

ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการ
- ไฟเบอร์สูง: ช่วยให้อิ่มนาน ควบคุมน้ำหนัก และดีต่อระบบขับถ่าย
- ไขมันดี: มีไขมันไม่อิ่มตัวและไฟโตสเตอรอล ช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งและโรคหัวใจ.
- วิตามินและแร่ธาตุ: มีวิตามินอี, บี6, โฟเลต, แคลเซียม, เหล็ก ฯลฯ ช่วยเสริมการทำงานของร่างกาย
- สุขภาพลำไส้: ช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้

รูปแบบการบริโภค
- อบเกลือ (Roasted & Salted): ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการรับประทานเล่น
- อบธรรมชาติ (Roasted/Raw): ไม่ใส่เกลือ เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ
- เมล็ดเปลือย (Kernels): นำไปใช้ประกอบอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มได้
- ผงพิสตาชิโอ (Powder): ใช้โรยหน้าขนม หรือเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม

ในประเทศไทยนั้น หากเป็นสมัยก่อนถั่วพิสตาชิโอถือเป็นถั่วที่หายาก ทำให้มีราคาสูงกว่าในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเกษตรกรในประเทศไทยส่วนน้อยที่ทดลองปลูกถั่วพิสตาชิโอแบบจริงจัง แต่ก็สามารถปลูกถั่วพิสตาชิโอในประเทศไทยได้เพราะเป็นถั่วที่ชอบอยู่ในที่มีอากาศร้อนชื้นสลับกับอากาศหนาวบริเวณพื้นที่สูงและเนื่องจากมีคนปลูกน้อยในประเทศไทย หากใครสนใจที่จะปลูกต้นพิสตาชิโอก็สามารถปลูกได้เลย
ถั่วพิสตาชิโอ มีทั้งสีน้ำตาลและสีเขียว แต่ถั่วพิสตาชิโอสีเขียวจะมีประโยชน์มากกว่าสีอื่น
การปลูกถั่วพิสตาชิโอนั้นมีสองแบบคือการเพาะเมล็ดและการปักชำกิ่ง แต่ต้นพิสตาชิโอในไทยนั้นหายากจึงนิยมเพาะเมล็ดกันมากว่า โดยเริ่มจากการนำถั่วพิสตาชิโอมาวางไว้ในผ้าและคลุมไว้ให้มิดชิด ก่อนจะนำมาวางไว้ในผ้าให้แช่น้ำในอุณหภูมิห้องปกติ 2 วันก่อน จากนั้นก็นำถั่วพิสตาชิโอวางไว้ในผ้าและห่อไว้ ก่อนนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เมื่อเอาออกมาแล้วก็ให้ตั้งทิ้งไว้สัก 3 วันเพื่อปรับอุณหภูมิเมล็ด จากนั้นก็เตรียมดินและภาชนะการปลูกให้พร้อม แล้วจึงนำลงปลูกได้เลยเพียงเท่านี้ก็คอยดูแลโรครวมทั้งสภาพอากาศและให้ธาตุอาหาร รอเวลาประมาณ 4-5 ปี ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งต้นถั่วชนิดนี้มีอายุยืนถึงนับร้อยปี




