11 ธันวาคม 2565 เพจอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต โพสต์ข้อความระบุว่า อุทยานแห่งขาติสิรินาถ ได้รับแจ้งจากศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ว่ามีชาวบ้านตำบลไม้ขาวทราบชื่อ นายบุญเจิด แซ่ตัน ได้โทรแจ้งให้หัวหน้าศูนย์ฯ ทราบว่า เวลา 06.00 น. พบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล บริเวณหาดไม้ขาว หน้าโรงแรมสแปลช บีช รีสอร์ท จึงได้ร่วมกันเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ ที่พิกัด 47P 423092E
พบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของเต่าขนาดใหญ่ วัดขนาดความกว้างของอกได้ 110 ซม. ขนาดความกว้างของพาย 180 ซม. คาดว่าเป็นเต่ามะเฟือง จึงได้ช่วยกันขุดหาไข่เต่า พบไข่เต่าทั้งหมด จำนวน 108 ฟอง เป็นไข่ดี จำนวน 79 ฟอง (แตก 3 ฟอง เหลือ 76 ฟอง) ไข่ลม จำนวน 29 ฟอง
จากการสำรวจสภาพพื้นที่ที่เต่าวางไข่ จะมีน้ำทะเลท่วมถึง จึงได้ทำการย้ายไข่เต่าไปเพาะฟักบริเวณหาดในยางหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยจะติดตามเฝ้าระวังและเฝ้าสังเกตการณ์ จนถึงเวลาฟักเป็นตัวและปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เต่ามะเฟือง”จัดอยู่ในกลุ่ม สัตว์เลื้อยคลาน (Reptile) เป็นเต่าทะเล ตัวเต็มวัยมีขนาด 1.5-2.5 เมตร น้ำหนัก 800-900 กิโลกรัม จัดเป็นเต่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ลักษณะเด่น
กระดองมีลักษณะเป็นหนังหุ้ม ไม่แข็งเหมือนเต่าชนิดอื่น มีร่องสันนูนตามยาว 7 สัน มองดูคล้ายกับผลมะเฟือง ครีบคู่หน้าไม่มีเล็บ หัวใหญ่ไม่สามารถหดเข้าไปในกระดองได้
การขยายพันธุ์
เต่ามะเฟือง เพศเมีย จะขึ้นมาวางไข่บนชายหาด ประมาณ 66-104 ฟอง/รัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการวางไข่ เช่น อายุ สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมของสถานที่วางไข่ ใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 60-70 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม ซึ่งมีประมาณ 85% ที่ฟักตัวได้
นอกจากนี้อุณหภูมิในหลุมฟักยังเป็นตัวแปรในการกำหนดสัดส่วนเพศของลูกเต่ามะเฟืองในหลุม โดยสัดส่วนของเพศเมียจะมีมากขึ้นเมื่อมีอุณหภูมิสูง
หลังจากฟักตัว ลูกเต่าจะคลานออกจากรัง ลงสู่ทะเลโดยทันที เนื่องจากเป็นเต่ามะเฟืองเป็นเต่าน้ำลึก จึงไม่สามารถเก็บมาอนุบาลเป็นเวลานานได้ ซึ่งต่างกับเต่าทะเลสายพันธุ์อื่น ในวัยเจริญพันธุ์จะเติบโตและใช้เวลาอยู่ในทะเลเกือบชั่วชีวิต โดยเต่ามะเฟืองสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 1,280 เมตร
อาหาร
แมงกะพรุน แพลงก์ตอน สาหร่ายน้ำลึก
การกระจายพันธุ์
เขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ในประเทศไทยมีรายงานการพบเต่ามะเฟืองทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน
นอกจากนี้ เต่ามะเฟือง จัดเป็นสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ที่ได้รับความสำคัญจากนานาประเทศ เนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นระยะไกล จึงมีแหล่งอาศัยในพื้นที่ทางทะเลระหว่างประเทศ จัดเป็นทรัพยากรร่วมของภูมิภาคและระดับโลก เต่ามะเฟืองเป็นเต่าทะเลที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับเต่าทะเลที่มีอยู่ 7 ชนิดทั่วโลก จำนวนประชากรพ่อแม่พันธุ์เต่ามะเฟืองที่มาผสมพันธุ์และวางไข่ในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียงปีละไม่ถึง 10 ตัว ทำให้ต้องมีการทบทวนแนวทางการอนุรักษ์เต่ามะเฟือง เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการคุ้มครองเต่าทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกชนิดนี้ ให้เป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 18แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ผลจากการดูแลเต่ามะเฟืองและแหล่งที่อยู่อาศัยจะช่วยคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ภัยคุกคามต่อเต่ามะเฟือง
1.ติดเครื่องมือประมง
ระหว่างการเดินทางมาวางไข่และระหว่างพักช่วงการวางไข่ของแม่เต่ามะเฟือง มีโอกาสที่จะติดเครื่องมือประมง ทั้งเครื่องมือประมงพาณิชย์ เช่น อวนลาก และเครื่องมือประมงพื้นบ้าน เช่น อวนลอย เบ็ดราวปลากระเบน และโป๊ะน้ำตื้น
2.ถูกรบกวนจากกิจกรรมในทะเล
การรบกวน เช่น จากแสงไฟของเรือที่จอดบริเวณชายหาด ขยะ และน้ำเสียจากเรือ การท่องเที่ยวทางทะเล เช่น สกู๊ตเตอร์ รบกวนการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล นอกจากนั้นความสนใจของนักดำน้ำต่อเต่าทะเลยังรบกวนการพักผ่อน หากินของมันอีกด้วย
3.การสูญเสียสภาพชายหาดที่เหมาะสมต่อการวางไข่
การสูญเสียสภาพชายหาดเกิดขึ้นได้ทั้งในเชิงของปริมาณ คือการสูญเสียบริเวณหาดทรายที่เหมาะสมต่อการวางไข่ของเต่าทะเลจากการก่อสร้างสิ่งลุกล้ำลงไป หรือในเชิงคุณภาพ เช่น มีกิจกรรม แสง สี เสียง รบกวนการขึ้นมาวางไข่ของแม่เต่า ความสกปรก และขยะบริเวณชายหาด
4.ถูกรบกวนจากกิจกรรมบนชายฝั่ง
การพัฒนาบนฝั่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพของชายหาดที่เต่าทะเลจะเลือกขึ้นมาวางไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแสง การขาดการจัดการที่ดีของการพัฒนาชายฝั่ง ส่งผลต่อปริมาณขยะ และน้ำเสียที่ไหลลงมาสู่ชายหาด
5.ขยะทะเล
ปัญหาของขยะทะเลมีแนวโน้มสูงขึ้นมาก เนื่องจากการเพิ่มของประชากรของมนุษย์และการขาดจิตสำนึกในการใช้สิ่งของและการทิ้งขยะ ผลการผ่าชันสูตรซากเต่าทะเลที่เกยตื้นเสียชีวิตบางตัวพบขยะพลาสติกจำนวนมากในระบบทางเดินอาหารอันเป็นสาเหตุของการตาย เต่ามะเฟืองซึ่งกินแมงกะพรุนเป็นอาหารหลักเมื่อเห็นพวกเศษถุงพลาสติกใสอาจหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแมงกะพรุนจึงกินเข้าไปได้ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะกลืนกินขยะทะเลเข้าไป ปัญหาขยะทะเลไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเต่าทะเล แต่ยังเป็นสาเหตุการเกยตื้นในสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ชนิดอื่น ๆ ทั้งจากการกินโดยไม่ตั้งใจ หรือการกินโดยตั้งใจเนื่องจากคิดว่าเป็นอาหาร ปัญหาขยะที่พบได้บ่อยมากคือขยะจำพวกเชือกและเศษอวนซึ่งเกี่ยวรัดสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธ์ให้บาดเจ็บและเสียชีวิต