​อินโดนีเซีย เปิดไต่สวนใช้มาตรการ Safeguard กับสิ่งทอ 4 รายการ ด้าน“พาณิชย์ไทย” ยื่นขอยกเว้น 3 สินค้า

อินโดนีเซีย เปิดไต่สวนใช้มาตรการ Safeguard กับสินค้าสิ่งทอที่นำเข้าจากต่างประเทศรวม 4 รายการ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ “พาณิชย์” ส่งหนังสือขอรับการยกเว้นการใช้มาตรการสินค้าไทย 3 รายการทันที เหตุสัดส่วนการนำเข้าไม่เกิน 3% ตามข้อตกลง WTO อีก 1 รายการเกินเล็กน้อย ขอร่วมในกระบวนการไต่สวน เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ผู้ประกอบการไทย

655d9eb7c5837
อินโดฯใช้มาตรการ Safeguard กับสินค้าสิ่งทอนำเข้า 4 รายการ ด้านไทยยื่นขอยกเว้น 3 สินค้า


นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา หน่วยงานผู้รับผิดชอบการใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซีย (KPPI) ได้ประกาศเปิดการไต่สวนการใช้มาตรการตามความตกลงว่าด้วยมาตรการ Safeguard ขององค์การการค้าโลก (WTO) กับสินค้า 4 รายการ ได้แก่ 1.ด้ายฝ้าย (Cotton Yarn) 2.ผ้าฝ้าย (Cotton Fabrics) 3.ผ้าทอทำด้วยเส้นใยสังเคราะห์ (Woven Fabrics of Artificial Filament Yarn) และ 4.เส้นใยสังเคราะห์ (Artificial Filament Yarn) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากสินค้านำเข้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจนมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ด้วยการเก็บอากร Safeguard กับสินค้าดังกล่าวจากทุกประเทศ
         

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลอินโดนีเซียให้ความสำคัญ โดยข้อมูลของรัฐบาลอินโดนีเซีย ระบุว่า ปริมาณการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 14,843 ตันในปี 2562 เป็น 29,908 ตันภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี ทำให้ส่วนแบ่งตลาดในประเทศ และจำนวนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอของอินโดนีเซีย มีสัดส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบสถิติการนำเข้าสินค้าทั้ง 4 รายการจากไทย พบว่า ในปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าผ้าฝ้าย ผ้าทอทำด้วยเส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยสังเคราะห์จากไทยต่ำกว่า 3% ของปริมาณสินค้านำเข้าทั้งหมด ซึ่งกรมในฐานะผู้แทนหน่วยงานภาครัฐของไทย ได้มีหนังสือแจ้งให้ไทยได้รับยกเว้นจากการใช้มาตรการกับสินค้า 3 รายการดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นไปตามความตกลงข้อ 9.1 ของ WTO ที่กำหนดไม่ให้ใช้มาตรการกับประเทศกำลังพัฒนาที่มีสัดส่วนปริมาณการนำเข้าไม่เกิน 3% ส่วนสินค้าด้ายฝ้าย อินโดนีเซียมีการนำเข้าจากไทยในสัดส่วนที่เกินกว่า 3% เพียงเล็กน้อย กรมจึงได้แสดงตนเข้าร่วมในกระบวนการไต่สวน พร้อมทั้งเน้นย้ำให้อินโดนีเซียปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในความตกลง WTO อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ทางการค้าของไทย และกรมจะติดตามผลการไต่สวนการใช้มาตรการอย่างเป็นทางการของสินค้าทั้ง 4 รายการต่อไป

ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีการใช้มาตรการ Safeguard กับสินค้า 20 รายการจากทั่วโลก ซึ่งไทยได้รับการยกเว้น 14 รายการ โดยอีก 6 รายการที่ไม่ได้รับการยกเว้นจากการใช้มาตรการ ได้แก่ คอยล์เย็น (Evaporators) น้ำเชื่อม (Fructose Syrup) พรมและสิ่งปูพื้น (Carpets and Other Textile Floor Coverings) ด้ายจากเส้นใยสังเคราะห์ (Yarn [Other than sewing thread] of Synthetic and Artificial Staple Fibre) โฟม EPS (Expansible Polystyrene : EPS) และอุปกรณ์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย (Articles of Apparel and Clothing Accessories) เนื่องจากมีสัดส่วนการนำเข้าเกิน  3%

โดยที่ผ่านมา กรมได้เข้าร่วมกระบวนการไต่สวนและดำเนินการแก้ต่างให้กับผู้ส่งออกไทยมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีการยื่นข้อโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน่วยงานของอินโดนีเซีย เพื่อขอให้ยุติการใช้มาตรการกับไทย ในกรณีที่สินค้านำเข้าจากไทยมีสัดส่วนเกินกว่า 3% เพียงเล็กน้อย และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในของอินโดนีเซีย