น้ำมัน ก๊าซ ค่าไฟ อาหารสดขึ้น ดัน “เงินเฟ้อ” พ.ค.65 เพิ่ม 7.1% สูงสุดในรอบ 13 ปี

พาณิชย์ เผย “เงินเฟ้อ พ.ค.65” เพิ่มขึ้น 7.1% สูงสุดในรอบ 13 ปีอีกครั้ง เหตุได้รับผลกระทบจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า อาหารสด ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล สินค้าทำความสะอาด คาดแนวโน้ม มิ.ย. มีโอกาสขึ้นต่อ หลังน้ำมันยังเป็นปัจจัยกดดัน กระทบต้นทุนการผลิตและราคาสินค้า ส่วนทั้งปียังประเมินที่ 4-5% หากสถานการณ์เปลี่ยนพร้อมทบทวนเป้าใหม่

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน พ.ค.2565 เท่ากับ 106.62 เทียบกับ เม.ย.2565 เพิ่มขึ้น 1.40% เทียบกับเดือนพ.ค.2564 เพิ่มขึ้น 7.10% เป็นการเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวเลขเดือนเม.ย.2565 และสูงกว่าเดือนก.พ. และมี.ค. ที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 ปี ทำให้เดือนพ.ค.”เงินเฟ้อ”ยังถือว่าสูงสุดในรอบ 13 ปี

capture 20220606 190519
เงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 13 ปี

ส่วนเงินเฟ้อรวม 5 เดือนปี 2565 (ม.ค.-พ.ค.) เพิ่มขึ้น 5.19% และเงินเฟ้อพื้นฐานที่หัก อาหารสดและพลังงานที่มีความผันผวนด้านราคาออก ดัชนีอยู่ที่ 102.74 เพิ่มขึ้น 0.17% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.2565 และเพิ่มขึ้น 2.28% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.2564 และเฉลี่ย 5 เดือนเพิ่มขึ้น 1.72%

สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ปัจจัยหลักยังคงเป็นราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยสินค้ากลุ่มพลังงาน เพิ่ม 37.24% โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 35.89% ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาในตลาดโลก ก๊าซหุงต้ม เพิ่ม 8% จากการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ทำให้ราคาทยอยปรับเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดและค่ากระแสไฟฟ้า เพิ่ม 45.43% จากการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) รอบเดือนพ.ค.-ส.ค.2565

ส่วนกลุ่มอาหารเพิ่ม 6.18% เช่น เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ ราคาเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนการเลี้ยง ผักสด ราคาเปลี่ยนแปลงตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาด

เครื่องประกอบอาหาร อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาปรับขึ้นตามต้นทุน และสินค้าอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (แชมพู ยาสีฟัน สบู่ถูตัว) ราคาปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากสิ้นสุดโปรโมชัน ขณะที่สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด(น้ำยาล้างจาน น้ำยารีดผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม) ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ เบียร์ สุรา) ราคาทยอยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม มีสินค้าสำคัญหลายรายการ ราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ลด 2.81% โดยเฉพาะราคาข้าวสาร การศึกษา ลด 0.65% ตามค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่ปรับลดลงทุกระดับชั้น เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า เช่น กางเกงขายาวบุรุษ และเสื้อสตรี ลด 0.06% ตามการจัดโปรโมชัน

ทั้งนี้ในเดือนพ.ค.2565 มีสินค้าที่ราคาสูงขึ้น 298 รายการ เช่น ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง เนื้อสุกร กับข้าวสำเร็จรูป อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) ไข่ไก่ อาหารเช้า ค่าน้ำประปา ไก่สด เป็นต้น

สินค้าไม่เปลี่ยนแปลง 54 รายการ เช่น ค่าโดยสารรถไฟลอยฟ้า ค่าใบอนุญาตขับขี่ ค่าภาษีรถยนต์ประจำปีและราคาลดลง78 รายการ เช่น ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า ขิง กล้วยหอม ต้นหอม มะเขือเทศ ค่าเช่าบ้าน ผักกาดขาวและถั่วฝักยาว เป็นต้น

นายรณรงค์ กล่าวว่า เงินเฟ้อเดือน มิ.ย.2565 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีการขยายเพดานการตรึงราคาน้ำมันดีเซล การปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.2565 และการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft)

ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปที่ปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต รวมถึงต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ การระงับการส่งออกสินค้าในหลายประเทศ และอุปสงค์ที่เริ่มฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยว และการส่งออก จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เงินเฟ้อทั่วไปของไทยยังคงเพิ่มขึ้น

ตอนนี้น้ำมันเป็นปัจจัยหลักยังไม่ลดลงแต่พอมีสัญญาณลงบ้างจากกรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไปเยือนซาอุดิอาระเบีย ขอให้ผลิตน้ำมันเพิ่ม แต่ถ้าดูปัจจุบันราคาน้ำมันยังมีผลต่อต้นทุนการผลิต ส่งต่อไปถึงสินค้าขายปลีก คาดว่า เงินเฟ้อเดือนมิ.ย.2565 น่าจะเพิ่มขึ้น แต่การเพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าเพิ่มเพราะรายการสินค้าและบริการสูงขึ้นด้วยเหตุผลเดียว แต่เป็นเรื่องของน้ำมัน ที่กระทบต่อเนื่อง ทั้งการต้นทุนการผลิต ราคาสินค้า นายรณรงค์กล่าว

สำหรับเป้าหมาย “เงินเฟ้อ” ทั้งปี ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อทั่วไปของไทย ปี 2565 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 4.0-5.0% ค่ากลางอยู่ที่ 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ และไทยจะไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งจากการประเมินตอนนี้ ทั้งไม่น่าจะเกิน 6-7% ภายใต้โจทย์น้ำมันสูง แต่ไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่เงินเฟ้อต่ำ อาจจะไม่ต่ำที่สุด โดย สนค.จะติดตามสถานการณ์ต่อไป และหากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็จะมีการทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้ออีกครั้ง