.
วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์การเพาะปลูกของภาคเกษตรกรรมกำลังเริ่มขึ้น เกษตรกรส่วนใหญ่เริ่มทำการเพาะปลูกตามปฏิทินการเพาะปลูกประจำปี โดยพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตรต้องดูแลรับผิดชอบพื้นที่ประมาณ 78% หรือจำนวนประมาณ 116 ล้านไร่ จากพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ทั้งหมด 230 ล้านไร่ และจากสถานการณ์ฝนตกตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน มีฝนตกเพียงเล็กน้อย บางพื้นที่ยังไม่มีฝนตก ทำให้สถานการณ์น้ำและความชื้นในดินมีค่อนข้างต่ำ
ขณะเดียวกันมีเกษตรกรและประชาชนขอรับบริการฝนหลวงเข้ามาจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยพื้นที่ที่มีการขอฝนหลวงมากที่สุด (ข้อมูล ณ 30 เม.ย. 2566) คือ บริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (163 แห่ง) ภาคใต้ (152 แห่ง) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (143 แห่ง) รวมถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ เริ่มมีปริมาณเก็บกักลดน้อยลงตามลำดับ บางแห่งมีปริมาณน้ำต่ำกว่า 50% และทางกรมชลประทานมีการขอสนับสนุนให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ จำนวน 70 แห่ง
อีกทั้งจากการคาดการณ์สภาพอากาศของปี 2566 พบว่า ในปีนี้ปรากฏการณ์เอลนีโญจะส่งผลกระทบให้ฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม มีฝนตกน้อยกว่าปี 2565 เกิดฝนทิ้งช่วงตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป และเกิดความแห้งแล้งขึ้นจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติ
.
นายสุพิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว กรมฝนหลวงและการบินเกษตรจึงมีการปรับแผนการทำงานเพื่อรับมือกับภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ได้สั่งการให้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง 12 หน่วยฯ ทั่วทุกภูมิภาค ใช้อากาศยานของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน 23 ลำ และอากาศยานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศ จำนวน 6 ลำ รวม 29 ลำ ประกอบด้วย
.
– ภาคเหนือตอนบน ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ตาก
– ภาคเหนือตอนล่าง ตั้งหน่วยปฏิบัตการฝนหลวงที่ จ.พิษณุโลก
– ภาคกลาง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.ลพบุรี และ จ.กาญจนบุรี
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.ขอนแก่น
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตนล่าง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.นครราชสีมา และ จ.อุบลราชธานี
– ภาคตะวันออก ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.จันทบุรี
– ภาคใต้ ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.สุราษฎร์ธานี จ.สงขลา และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
.
นายสุพิศ กล่าวย้ำด้วยว่า ได้กำชับให้นักวิทยาศาสตร์ นักบิน ช่างอากาศยาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และความต้องการน้ำของพี่น้องประชาชนเป็นประจำทุกวันอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนปฏิบัติการฝนหลวงเชิงรุกให้มีปริมาณน้ำเต็มอิ่ม เพียงพอสำหรับทำการเกษตร การอุปโภคบริโภค และมีปริมาณน้ำเก็บกักสำหรับใช้การ ทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า น้ำประปา รวมถึงด้านอุตสาหกรรมอีกด้วย
ส่วนทางด้านการเฝ้าระวังการเกิดพายุลูกเห็บเนื่องจากพายุฤดูร้อน กรมฝนหลวงฯ ยังคงมีทีมปฏิบัติการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเดือนพฤษภาคม โดยมีอากาศยานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรชนิด Super King Air จำนวน 2 ลำ ประจำการอยู่ที่หน่วยฯ จ.พิษณุโลก และอากาศยาน ชนิด Alpha Jet ของกองทัพอากาศ จำนวน 1 ลำ ประจำการอยู่ที่หน่วยฯ จ.เชียงใหม่ เพื่อปฏิบัติการบรรเทาความรุนแรงของพายุลูกเห็บ อย่างไรก็ตาม พี่น้องประชาชน เกษตรกร สามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร แจ้งสถานการณ์ความต้องการน้ำเพื่อขอรับบริการฝนหลวงได้เป็นประจำทุกวันที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภูมิภาค อาสาสมัครฝนหลวงในพื้นที่ หน่วยงานอำเภอ-จังหวัด ช่องทางโซเชียลมีเดีย @drraa_pr และหมายเลขโทรศัพท์ 02-1095100 ต่อ 410