กรมประมงออกประกาศฉบับใหม่ “ฤดูน้ำแดง 2566” ให้อำนาจคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดปรับพื้นที่ – เครื่องมือได้ตามความเหมาะสม คุ้มครองสัตว์น้ำจืดมีไข่ทั่วประเทศ เริ่ม 16 พ.ค. 66 นี้

กรมประมง เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ทั่วประเทศ เผย…ปรับกฎหมายให้เหมาะสมกับข้อมูลชีววิทยาของสัตว์น้ำจืด ข้อมูลปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ปริมาณน้ำท่า และข้อมูลด้านการประมงของในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ รักษาทรัพยากรสัตว์น้ำ – ระบบนิเวศได้อย่างยั่งยืน และลดผลกระทบต่อวิถีการทำประมงของชาวบ้าน และประกาศฉบับใหม่ได้มีการเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด สามารถประกาศกำหนดมาตรการอนุรักษ์ทั้งในเรื่องของพื้นที่ เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขการทำการประมง และมีผลบังคับใช้ 2 ปี คือ (ปี 2566 และ 2567)

โดยแบ่งพื้นที่และระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 : ครอบคลุม 33 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2566 และ วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2567  ระยะที่ 2 : ครอบคลุม 39 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2566 และ วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2567  ระยะที่ 3 ครอบคลุม 5 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2566 และ วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2567 โดยห้ามทำประมงในแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ห้วย หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อน พรุ และลำน้ำทุกสาขา รวมทั้งป่าไม้และพื้นดินที่ถูกน้ำท่วมตามธรรมชาติเชื่อมต่อบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของเอกชน เพื่อคุ้มครองสัตว์น้ำจืดมีไข่ทั่วประเทศ จึงขอความร่วมมือชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในช่วงฤดูน้ำแดง
       

202305131053232 pic scaled

“ฤดูน้ำแดง” หมายถึง ช่วงระยะเวลาที่น้ำในแม่น้ำลำคลองเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปริมาณน้ำฝนจำนวนมาก ชะล้างหน้าดินและพัดพาตะกอนธาตุอาหารต่าง ๆ ลงสู่แม่น้ำลำคลอง ทำให้น้ำกลายเป็นสีแดง ซึ่งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้สัตว์น้ำมีการผสมพันธุ์ และวางไข่ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปริมาณ ประชากรสัตว์น้ำให้แก่แหล่งน้ำ
       

นายเฉลิมชัย  สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำจืดในฤดูปลาน้ำจืดมีไข่ ด้วยการกำหนดให้ใช้เครื่องมือ วิธีการทำประมงที่ไม่เป็นการทำลายพันธุ์ทรัพยากรสัตว์น้ำจืด และเป็นเครื่องมือที่ประชาชนใช้จับสัตว์น้ำเพื่อการดำรงชีพให้สามารถจับสัตว์น้ำจืดในช่วงเวลาการบังคับใช้มาตรการทั่วประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทรัพยากรสัตว์น้ำได้มีการฟื้นตัว และเกิดขึ้นใหม่เข้าทดแทนสัตว์น้ำเดิมที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ และดำรงอยู่อย่างยั่งยืน อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ประชาชนเช่นเดียวกับมาตรการปิดอ่าวของฝั่งทะเล

ซึ่งจากการติดตามประเมินผลมาตรการฤดูน้ำแดงในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา (2564 –2565) ที่ผ่านมาครอบคลุมพื้นที่ 20 ลุ่มน้ำ 49 จังหวัด 72 แหล่งน้ำ 126 จุดเก็บตัวอย่าง รวมตัวอย่างปลาทั้งหมด 175 ชนิด พบว่า ปลาส่วนใหญ่วางไข่เกือบทั้งปี โดยผลสำเร็จจากการออกประกาศฯ ที่ผ่านมา (พ.ศ. 2564 – 2565)  สามารถรักษาพ่อแม่พันธุ์ในภาพรวมของประเทศไทยได้มากถึงร้อยละ 59.9 ซึ่งปริมาณพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำ มีความใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ผ่านมาส่งผลให้พ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำจืดมีโอกาสได้สืบพันธุ์วางไข่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่

ประกอบกับข้อมูลจากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ลักษณะอากาศของประเทศไทยราย 3 เดือนปรากฎการณ์เอนโซ่ยังคงสภาวะเป็นลานีญา และปรากฎการณ์เอนโซ่จะเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2566 ซึ่งจะทำให้ในช่วงมีนาคม – พฤษภาคม 2566 ปริมาณฝนและอุณหภูมิบริเวณประเทศไทยจะใกล้เคียงค่าปกติ นั่นหมายถึงว่า ช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะเข้าสู่ช่วงฤดูน้ำแดง และเพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาสัตว์น้ำ และระบบนิเวศเกิดความยั่งยืน ตามหลักการบริหารจัดการทรัพยากรฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ (ฤดูน้ำแดง)

ดังนั้น มาตรการฯ ฤดูน้ำแดง ยังคงกำหนดพื้นที่และระยะเวลา รวมถึงเครื่องมือที่ให้ใช้เป็นไปตามมาตรการเดิม โดยมีการเพิ่มอำนาจให้กับคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ให้สามารถออกประกาศกำหนดพื้นที่ เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขการทำการประมง เพื่อให้มีความเหมาะสมตามสภาพข้อเท็จจริงของแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ การกำหนดพื้นที่ ระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ หรือวางไข่ เลี้ยงตัววัยอ่อน และกำหนดเครื่องมือ วิธีการทำการประมง เงื่อนไขในการทำการประมง ประจำปี 2566 แบ่งพื้นที่และระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกเป็น 3 ระยะ ตามความเหมาะสมของระบบนิเวศน์แต่ละพื้นที่ โดยกำหนดห้ามมิให้ผู้ใดทำการประมงในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ในห้วงเวลาและพื้นที่ ดังต่อไปนี้

 ระยะที่ 1 : วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2566 และ วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2567 : ในพื้นที่ 33 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร เลย อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล และในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามแผนที่ท้ายประกาศ

ระยะที่ 2 : วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2566 และ วันที่ 1 มิถุนายน 2567 – 31 สิงหาคม 2567 : ในพื้นที่ 39 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองบัวลำภู  ขอนแก่น  ชัยภูมิ  นครราชสีมา มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด  มุกดาหาร  ยโสธร อำนาจเจริญ  อุบลราชธานี ศรีสะเกษ  สุรินทร์  บุรีรัมย์  เพชรบูรณ์  นครสวรรค์  ชัยนาท  อุทัยธานี  สิงห์บุรี  ลพบุรี  อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี สระบุรี นครปฐม นนทบุรีกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ  สมุทรสาคร สมุทรสงคราม  นครนายก  ปราจีนบุรี  สระแก้ว  ฉะเชิงเทรา  ชลบุรี ระยอง  จันทบุรี และตราด เว้นแต่ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำป่าว จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้อยู่ภายใต้บังคับระยะเวลาตาม ระยะที่ 1 

 ระยะที่ 3 : วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2566 และ  วันที่ 1 กันยายน 2567 – 30 พฤศจิกายน 2567: ในพื้นที่ 5  จังหวัด  ได้แก่ จังหวัดพัทลุง  สงขลา  ปัตตานี นราธิวาส และยะลา

 ในส่วนของเครื่องมือ วิธีการทำการประมงที่อนุญาตให้สามารถทำการประมงในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ได้ มีดังนี้
 

1. เบ็ดทุกชนิด ยกเว้น เบ็ดราว เบ็ดพวงที่ทำการประมงโดยวิธีการกระชาก หรือการใช้เครื่องมืออื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน 
            

2. ตะแกรง สวิง ช้อน ยอ หรือชนาง ซึ่งมีขนาดปากกว้างไม่เกิน 2 เมตร และไม่ทำการประมงด้วยวิธีประดาตั้งแต่ 3 เครื่องมือขึ้นไป
            

3. สุ่ม ฉมวก และส้อม
          

4. ไซ ตุ้ม อีจู้ ลัน 
          

5. แหที่มีความลึกไม่เกิน 6 ศอก (3 เมตร)

ทั้งนี้ กรณีที่คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดประกาศกำหนดมาตรการอนุรักษ์ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง โดยห้ามทำการประมงที่ใช้เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขในการทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใด ตามวรรคหนึ่ง 1 – 5 ให้ถือปฏิบัติตามประกาศนั้นด้วย
         

6. การทำการประมงเพื่อการศึกษา วิจัย ทดลองทางวิชาการ หรือในพื้นที่โครงการที่ดำเนินการของทางราชการ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมง
          

ทั้งนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนตามประกาศฯ มาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีโทษปรับตั้งแต่ห้าพันถึงห้าหมื่นบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมง
           

นอกจากนี้ กรมประมงยังประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ให้เข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรสัตว์น้ำ สร้างจิตสำนึกในการหวงแหนอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตน ทั้งนี้ เนื่องจากการกำหนดฤดูปลาวางไข่ในช่วงฤดูน้ำแดงนั้น เป็นหนึ่งในมาตรการที่ใช้ควบคุมการทำการประมงเพื่อลดการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำตามกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตามการอนุรักษ์ทรัพยากรที่แท้จริงต้องเริ่มที่จิตสำนึกของประชาชนทุกคน ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรที่มีอยู่รู้จักใช้ ร่วมกันดูแลและรักษาไว้ให้มีอยู่อย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานของตนต่อไป.อธิบดีกรมประมง กล่าว