ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้มูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือกขยายตัว 5.1% ซึ่งน้อยกว่าที่เคยคาดไว้เดิม 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2565 มูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ น่าจะอยู่ที่ 4,100 ล้านบาท หรือขยายตัว 5.1% ซึ่งน้อยกว่าที่เคยคาดไว้เดิม

ภายใต้แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่เร่งตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การวางแผนใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นไปอย่างความระมัดระวังมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่สินค้าในหมวดอาหาร ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นหรือคิดเป็นสัดส่วนราว 36% ของรายจ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนไทย 

ทั้งนี้ อาหารเพื่ออนาคต (Future Food) อย่างโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ แม้จะเป็นหนึ่งในสินค้าอาหารที่อยู่ในกระแสการบริโภคของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเติบโตได้จากการตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและแรงหนุนจากเทรนด์รักสุขภาพ การเข้าถึงช่องทางการขายที่เพิ่มขึ้น(ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ช่องทางออนไลน์ ธุรกิจร้านอาหาร) ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของจำนวนผลิตภัณฑ์ ผู้เล่นในตลาดและจำนวนผู้ที่ให้การตอบรับสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคFlexitarian(ผู้บริโภคมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น) 

แต่ด้วยลักษณะของสินค้าที่ยังคงมีราคาไม่ได้ถูกกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าอาหารกลุ่มโปรตีนทั่วไป ที่มีหลากหลายให้ผู้บริโภคเลือกซื้อหาได้อย่างสะดวก ดังนั้น ท่ามกลางกำลังซื้อและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงเป็นข้อจำกัดของการเพิ่มยอดขายหรือฐานลูกค้าใหม่สำหรับสินค้าโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง ตลอดจนผู้บริโภคเป้าหมายซึ่งยังเป็นเพียงผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่มีจำนวนไม่มากในไทย (อาทิ กลุ่มผู้ออกกำลังกาย กลุ่มรักสุขภาพ-ควบคุมอาหาร กลุ่มรักสิ่งแวดล้อม ฯลฯ) ซึ่งก็อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคไปตามกำลังซื้อได้เช่นกัน

F651D0B3 D9DB 4A1C B3F2 3658504CBA66

นอกจากประเด็นเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคและการแข่งขันกับอาหารโปรตีนทั่วไปแล้ว การดำเนินธุรกิจโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในปี 2565 ยังมีความท้าทายสำคัญจาก

1) การแข่งขันที่เริ่มรุนแรงจากจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กมากกว่ารายใหญ่: เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะระบบการผลิตที่ครบวงจร การผลิตที่ประหยัดต่อขนาด มีช่องทางจัดหน่ายของตนเองครอบคลุมทั่วประเทศ จึงทำราคาสินค้าได้ดี-แข่งขันได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กมักเผชิญกับข้อจำกัดดังกล่าว จึงทำให้มีต้นทุนการผลิตและค่าการตลาด อาทิ ค่า GP หรือค่าส่วนแบ่งการขายเป็นต้น ที่สูงกว่าและเข้าถึงผู้บริโภคได้ยากกว่า ทำให้คาดว่าในระยะต่อไป การขับเคลื่อนของธุรกิจจะยังมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่การปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก อาจอยู่ที่การรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง หรือการพิจารณาร่วมพัฒนาธุรกิจกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจและผลักดันการเติบโตของตลาดนี้

2) ความเสี่ยงจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น วัตถุดิบหลักในการผลิตโปรตีนทางเลือกของไทย ส่วนใหญ่ยังมาจากถั่วเหลือง และไทยยังพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองในสัดส่วนที่สูง ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ราคาธัญพืชโลก ราคาพลังงานและค่าขนส่งที่ยังมีแนวโน้มขยับขึ้นได้อีกในช่วงที่เหลือของปี 2565 อาจทำให้ธุรกิจมีภาระต้นทุนที่ขยับสูงขึ้น ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าการพัฒนาวัตถุดิบทางเลือกน่าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งการเลือกใช้วัตถุดิบใดๆ คงต้องคำนึงถึงต้นน้ำหรือระบบการผลิตที่ต้องมีความมั่นคงเพียงพอในระยะยาวและอาจคำนึงถึงวัตถุดิบท้องถิ่นที่เป็นอัตลักษณ์เพื่อสร้างความแตกต่างควบคู่ไปด้วย

BD0E76C9 4BC6 4D9D 9608 50FB7A251877

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หากไม่มีผลของภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตที่เร่งตัวสูงจากภาวะเงินเฟ้อ ในปี 2565 ตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่อาจเติบโตได้ราว 7.0% จากปีก่อน แต่จากปัจจัยท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาด ทั้งในเรื่องของกำลังซื้อและภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่อาจมีมูลค่าประมาณ 4,100 ล้านบาท ขยายตัวได้ราว 5.1% ซึ่งเป็นการเติบโตจากฝั่งราคาเป็นหลัก (ขยายตัว 8.2%) และอัตราการเติบโตนี้ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการเติบโตของอาหารในกลุ่มโปรตีนที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 8.8% ในปีนี้ ในขณะที่ปริมาณการบริโภคโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในภาพรวมอาจหดตัว (ติดลบ 3.1%) เพราะผู้บริโภคควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น โดยการเลือกซื้ออาหารทั่วไปที่ราคาถูกกว่าและหาซื้อได้ง่ายกว่า 

อย่างไรก็ดี ด้วยศักยภาพของสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์บริโภคเรื่องสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม ประกอบกับการรุกเข้าสู่ตลาดนี้อย่างจริงจังของผู้ประกอบการหลายราย ทั้งกลุ่มผลิตอาหารและผู้ประกอบการที่เดิมไม่ได้อยู่ในธุรกิจผลิตอาหารอย่าง กลุ่มพลังงานและค้าปลีก เป็นต้น ซึ่งน่าจะทำให้เกิดการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้นตามมา ทั้งในมิติของรสชาติที่ถูกปาก ราคาที่แข่งขันได้ ช่องทางจำหน่ายที่ทั่วถึง ทำให้คาดว่ามีโอกาสที่อัตราการบริโภคสินค้ากลุ่มนี้จะยังขยายตัวในระยะข้างหน้า 

ขณะที่ช่องว่างทางการตลาดสำหรับตลาดโปรตีนทางเลือก ที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในไทยยังมีอีกมาก เพราะมูลค่าตลาดของอาหารกลุ่มนี้ยังมีสัดส่วนน้อยหรือเพียง 0.6% เมื่อเทียบกับตลาดอาหารในกลุ่มโปรตีนทั้งหมดในไทยที่คาดว่าในปี 2565 จะมีมูลค่ากว่า 7.16 แสนล้านบาท

ภายใต้ความท้าทายของตลาดในประเทศ การมองหาตลาดส่งออกเป็นอีกหนึ่งช่องทางสาหรับการขยายตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ เพราะการตอบรับในตัวสินค้าของผู้บริโภคใน ต่างประเทศมีค่อนข้างสูงกว่าตลาดในประเทศ สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มโปรตีนทางเลือกท่ีมาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ท่ีสามารถเติบโตได้ดีในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 

ทั้งในส่วนของโปรตีนทางเลือกจากพืช (มูลค่าการส่งออกราว 628.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.5% YoY) ซึ่งมีตลาดศักยภาพสาคัญ ได้แก่ 4 สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และอาเซียนเป็นต้น และโปรตีนจากแมลง(มูลค่าการส่งออกราว129.1ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 25.0% YoY)ซึ่งมีตลาดศักยภาพส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เบลเยียม เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ในการขยายตลาดส่งออกก็อาจมีค่าใช้จ่ายและการแข่งขันกับสินค้าอาหารในประเทศปลายทางที่สูงเช่นกัน นอกเหนือจากโจทย์ด้านการเพิ่มรอบของการบริโภคเพราะอายุของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มแช่เย็นแช่แข็งที่ค่อนข้างยาว ดังนั้นการศึกษาโอกาสทางการตลาดเชิงลึกที่รอบด้านควบคู่กับการชูจุดแข็งในสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เมนูอาหารไทย อาหารทะเลจากพืช เป็นต้น กระบวนการผลิตที่ใส่ใจ สิ่งแวดล้อมและการสร้างเรื่องราวที่จูงใจผูบ้ริโภคกลุ่มเป้าหมายจะยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ