ในอดีต เวลาพูดถึง “การส่งออกสินค้าเกษตร” สิ่งที่ประเทศคู่ค้าให้ความสำคัญมีเพียง 2 อย่าง “คุณภาพ” กับ “ราคา”
ถ้าผลผลิตดี ราคาถูก ก็ถือว่าผ่านเข้าตลาดได้
แต่ “กติกาโลก” วันนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ…
ตลาดไม่ได้ถามแค่ว่า “ของดีไหม?” อีกต่อไป แต่เริ่มถามว่า
“ผลิตอย่างไร?”
“กระทบสิ่งแวดล้อมหรือไม่?”
“ระบบการผลิตยั่งยืนแค่ไหน?”
และนี่คือจุดที่ BCG ไม่ใช่แค่ “แนวคิด” อีกต่อไป แต่มันกลายเป็น “ภาษากลาง” ที่ทุกประเทศต้องพูดให้เข้าใจ และทุกฟาร์มต้องใช้ให้เป็น
เงื่อนไขใหม่ที่โลกเริ่มตั้งไว้แล้ว
สินค้าจะเข้าสู่ตลาดโลกได้ในอนาคต ต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้:
ลดการเผาและจัดการเศษวัสดุอย่างเหมาะสม
ลดการปล่อยคาร์บอน และมีข้อมูล “คาร์บอนฟุตพริ้นต์”
ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น น้ำ ปุ๋ย วัสดุเหลือใช้
มีระบบ “ตรวจสอบย้อนกลับ” ครบตลอดห่วงโซ่
แม้วันนี้หลายข้อยัง “ไม่ใช่กฎหมาย” แต่ก็เริ่มกลายเป็น “เงื่อนไขการค้า” และ “ข้อพิจารณา” ของบริษัทผู้นำเข้าและห้างค้าปลีกใหญ่ ๆ ทั่วโลก และแนวโน้มนี้จะกลายเป็น “มาตรฐานขั้นต่ำ” ในเวลาไม่นาน
สัญญาณจากทั่วโลกที่ชี้ชัดว่า BCG คืออนาคต
สหภาพยุโรป (EU):
เดินหน้า “Green Deal” และ “Farm to Fork” ตั้งเป้าปรับระบบอาหารให้ยั่งยืนภายในปี 2030
ออกกฎหมาย SUR ลดการใช้สารเคมีลง 50%
ออก EUDR ห้ามสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ “การทำลายป่า”
ห้างค้าปลีกหลายแห่ง ไม่รับซื้อสินค้า จากระบบที่ยังมีการเผา
ญี่ปุ่น – เกาหลี:
ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เช่น JAS Organic และ K-GAP ให้คะแนนสูงขึ้นกับสินค้าที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” และมีแนวโน้มจะใช้เป็นเกณฑ์ “คัดกรองสินค้านำเข้า” ในอนาคต
บริษัทอาหารและค้าปลีกยักษ์ใหญ่:
Nestlé, Unilever, Aeon, Walmart และอีกหลายแบรนด์ใหญ่ ประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2040–2050 และเลือกซื้อเฉพาะสินค้าจาก “ซัพพลายเชนที่ยั่งยืน” เท่านั้น ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตรที่ผลิตตามแนวทาง BCG
ถ้า “ไม่ปรับตัว” จะเกิดอะไรขึ้น
สินค้าอาจถูก “ปฏิเสธการนำเข้า”
ราคาถูก “กดลง” เพราะไม่ตรงมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
คู่แข่งที่มีระบบ BCG จะ “แซงหน้า” ทันทีในตลาดเดียวกัน
แต่ถ้า “ขยับให้ทัน” โอกาสใหม่จะเปิดกว้าง
เข้าสู่ “ตลาดพรีเมียม” ที่ให้ราคาสูงกว่า 20–40%
ได้สิทธิ์เข้าร่วม “โครงการสนับสนุนและความร่วมมือ” ระหว่างประเทศ
กลายเป็น “ผู้ส่งออกรายแรก” ที่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมใหม่ และตั้งราคาได้เอง
สรุปวิวัฒนาการของตลาดโลก
อดีต: สินค้าคุณภาพดี ราคาถูก = ส่งออกได้
ปัจจุบัน: สินค้าต้องดี ปลอดภัย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
อนาคต: สินค้าต้องมี “คุณค่า – ความยั่งยืน – เรื่องราว” ถึงจะยืนได้ในตลาด
เพราะในโลกยุคใหม่ BCG ไม่ได้เป็นแค่ “แนวทางเกษตรที่ดี”
แต่มันคือ “เงื่อนไขการค้าระดับโลก” ที่ใครเข้าใจเร็วกว่า…ย่อมได้เปรียบกว่า
ใครเริ่มก่อน → มีสิทธิ์ขายก่อน
ใครปรับตัวได้เร็ว → ตั้งราคาได้ก่อน
และใครเข้าใจ BCG ก่อน → จะกลายเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในตลาดโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง





