หลังจากที่ผมได้ฟังทั้ง ดร.ชาลินี จาก Biotech และ ดร.ปิยรัตน์ จากกรมวิชาการเกษตร
ผมรู้สึกเหมือนได้เดินออกจากห้องประชุม
ไปสู่ทุ่งนากว้าง ๆ ที่มีลมอุ่นพัดผ่านใบข้าวเบา ๆ
เพราะมันทำให้ผมเข้าใจว่า
เทคโนโลยีไม่ได้น่ากลัว…ถ้ามีคนอธิบายให้เราฟังด้วยหัวใจ
ผมเริ่มต้นด้วยความงงเหมือนคนทั่วไป
ใคร ๆ ก็ถามว่า GEd คืออะไร ต่างจาก GMO ยังไง
แต่พอได้ยิน ดร.ชาลินี พูดว่า “มันคือการแต่งยีนเดิมของพืช ไม่ได้เอายีนสิ่งมีชีวิตอื่นมาใส่”
ผมรู้สึกเหมือนใส่แว่นใหม่ เห็นโลกชัดขึ้นทันที
และพอได้ฟัง ดร.ปิยรัตน์ ต่อ
ผมก็รู้เลยว่าเบื้องหลังเทคโนโลยี
มี “คน” จำนวนมากที่ทำงานด้วยความตั้งใจ
เพื่อให้เกษตรกรมีพันธุ์พืชดีขึ้น
เพื่อให้ผู้บริโภคสบายใจ
เพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เธอสรุปงานของกรมวิชาการเกษตรง่าย ๆ แค่สามคำ
วิจัย – ดูแล – สื่อสาร แต่สามคำนั้นครอบคลุมทุกอย่างที่ประเทศควรทำแล้ว
ผมคิดได้อย่างหนึ่ง…
คนไทยไม่ได้กลัวเทคโนโลยี
คนไทยกลัว “สิ่งที่ไม่รู้จัก” ต่างหาก
เมื่อเราเห็นความจริง
ว่า GEd ไม่ใช่การเอายีนแปลกปลอมมาใส่
ว่าเรามีกลไกดูแลความปลอดภัย
ว่าเจ้าหน้าที่รัฐก็ทำงานอย่างโปร่งใส
และว่าเราสามารถถาม–สงสัย–แลกเปลี่ยนได้
ความกลัว…มันก็เบาลง
เหมือนเมฆฝนที่ค่อย ๆ ขยับออกจากยอดดอย
บทสรุปที่ผมอยากให้เกษตรกรไทยได้ฟัง
“เทคโนโลยีไม่ใช่ศัตรู
ถ้าเรารู้จักมันและมีคนดูแลมันอย่างถูกต้อง”
GEd ไม่ได้มาแทนพันธุ์พื้นเมือง
ไม่ได้บังคับให้ใครใช้
ไม่ได้ทำให้เราต้องกลัวอาหารในจานของตัวเอง
มันเป็นเพียง “อีกทางเลือกหนึ่ง”
เหมือนเครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้ช่างฝีมือ
ทำงานได้เร็วขึ้น แม่นขึ้น แต่ใจของช่าง…ก็ยังเหมือนเดิม
บทส่งท้ายจริง ๆ
ผมเดินออกจากงานวันนั้น
รู้สึกว่าประเทศไทยเดินไปอีกหนึ่งก้าว
ไม่ใช่เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ
แต่เพราะเรา “เริ่มต้นด้วยความเข้าใจ” ต่างหาก
ผมหวังว่า ไม่ว่าเราจะปลูกข้าว ปลูกผัก หรือปลูกความหวังไว้ในใจ
เทคโนโลยีจะเป็นเหมือนการ “แต่งกิ่ง”
ที่ทำให้ต้นไม้เติบโตแข็งแรงขึ้น
โดยไม่ต้องเปลี่ยนให้เป็นต้นใหม่เลยสักนิด
และหวังว่าเกษตรกรไทยทุกคน…จะได้ประโยชน์จากความรู้ที่อธิบายอย่างถูกต้องและเป็นธรรม





