ย้อนรอย 8 ทศวรรษ 80 ปี กรมปศุสัตว์

ในปีพุทธศักราช 2447 ได้มีการเริ่มกิจการทางสาขาสัตวแพทย์ขึ้นใน “กรมช่างไหม” กระทรวงเกษตราธิการในสมัยนั้น โดยได้มีการเปิดสอนวิชาสัตวแพทย์ขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 กรมช่างไหมได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมเพาะปลูก” ซึ่งได้มีการจัดตั้งกิจการผสมสัตว์ และกิจการแผนกรักษาสัตว์ขึ้นในกรมในปี พ.ศ. 2474 ได้โอนกรมเพาะปลูกไปร่วมกิจการของกองตรวจพันธุ์รุกขชาติ โดยจัดตั้งขึ้นเป็น “กรมตรวจกสิกรรม” สังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 ได้แยกกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมออกเป็นกระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรพาณิชย์ซึ่งต่อมากระทรวงเกษตรพาณิชย์ได้เปลี่ยนเป็นกระทรวงเศรษฐการและในส่วนกรมตรวจกสิกรรมได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมเกษตร” ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมเกษตรและการประมง”​​​​​​ จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495 “กรมปศุสัตว์และสัตว์พาหนะ” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมการปศุสัตว์” สังกัดกระทรวงเกษตร (เปลี่ยนชื่อจากกระทรวงเกษตราธิการ) และในปลายปี พ.ศ. 2495 ได้ย้ายที่ตั้งกรมจากข้างป้อมพระสุเมรุ ถนนพระอาทิตย์ มาอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบัน ถนนพญาไท แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ และในปีถัดมา คือ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2496 กรมการปศุสัตว์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น“กรมปศุสัตว์” ดังเช่นในปัจจุบัน​​​​​​​​​​

3F622187 E512 465A A12D 6B170895CD6D

กรมปศุสัตว์ (Department of Livestock Development) เป็นหน่วยงานราชการไทย ประเภทกรม สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมการเลี้ยงสัตว์ ทั้งด้านสุขภาพ การบำบัดโรค การบำรุงพันธุ์ การควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ สถานพยาบาลสัตว์ โรคระบาดสัตว์ การปศุสัตว์ไปจนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสัตว์​​​​​​​​​

กรมปศุสัตว์ ขึ้นทะเบียน “ตึกอำนวยการ กรมปศุสัตว์ ถนนพญาไท” เป็นโบราณสถาน โดยกรมศิลปากร ประกาศเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ความว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 กรมศิลปากร จึงประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดิน โบราณสถานตึกอำนวยการ กรมปศุสัตว์ ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ให้มีพื้นที่โบราณสถาน 3 ไร่ 57.75 ตารางวา ประกาศ ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นับเป็นการสร้างความภาคภูมิใจและเป็นที่ปิติยินดีแก่กรมปศุสัตว์เป็นอย่างยิ่ง