สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568 ประเภทวิสาหกิจชุมชน “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกร ปลูกกล้วยหอมทองและไม้ผลปลอดภัยอำเภอบางแก้ว” อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง

Screenshot 2025

“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกร ปลูกกล้วยหอมทองและไม้ผลปลอดภัยอำเภอบางแก้ว” จัดตั้งเมื่อ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
สมาชิกแรกตั้ง ๓๒ ราย สมาชิกปัจจุบัน ๙๘ ราย

ประธานกลุ่ม นายสมชัย หนูนวล

ที่ทำการกลุ่ม เลขที่ ๕๕ หมู่ที่ ๓ ตำบลท่ามะเดื่อ อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง

Scre

ผลงานดีเด่น ความคิดริเริ่ม

“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรปลูกกล้วยหอมทองและไม้ผลปลอดภัยอำเภอบางแก้ว” มีการจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ ในช่วงเริ่มต้นมีสมาชิกเพียง๓๒ ราย บนพื้นที่เพาะปลูก ๓๐ ไร่ แต่ด้วยแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับความร่วมมือของเกษตรกรและหน่วยงานสนับสนุน ทำให้ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น ๙๘ ราย และมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเป็น ๕๐๐ ไร่ วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เกิดจากความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่ที่ต้องการ ลดความเสี่ยงจากการทำาเกษตรเชิงเดี่ยว เช่น ยางพาราและปาล์มน้ำมันซึ่งเผชิญปัญหาราคาผันผวนและได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ด้วยเหตุนี้สมาชิกกลุ่มจึงได้ร่วมกันพัฒนาระบบการปลูกกล้วยหอมทองแบบผสมผสาน

แนวคิดหลักของวิสาหกิจชุมชนฯ คือ “ตลาดนำการผลิต” โดยมีการทำสัญญากับบริษัทเอกชนในการรับซื้อผลผลิต ช่วยให้สมาชิกมีรายได้มั่นคง เช่น รายได้จากการปลูกกล้วยหอมทองเพิ่มขึ้นจาก ๔,๐๐๐ ถึง๕,๐๐๐ บาท/เดือน เป็น ๕๐,๐๐๐ – ๖๐,๐๐๐ บาท/เดือน

Screenshot 2

ความสามารถในการบริหารและการจัดการสถาบัน

วิสาหกิจชุมชนฯ มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการบริหาร จำนวน ๙ คน ทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบมีการประชุมสม่ำเสมอเพื่อวางแผน พิจารณาแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นดำเนินงานภายใต้นโยบาย “ร่วมกันคิด แยกกันทำ” ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดความเป็นอิสระในการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน จุดเด่นของการบริหารจัดการ มีดังนี้

๑. การวางแผนการตลาดล่วงหน้า โดยมีการทำ MOU กับบริษัทเอกชน เพื่อให้มีการรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด พร้อมทั้งมีการประกันราคาขั้นต่ำให้แก่สมาชิก เพื่อให้มั่นใจว่าผลผลิตที่ปลูกจะได้รับราคาที่ยุติธรรม

Screenshot


๒. มีการรับรองมาตรฐานและสร้างความน่าเชื่อถือโดยส่งเสริมให้สมาชิกได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP(Good Agricultural Practices) ซึ่งปัจจุบันได้รับการรับรองแล้ว ๖๐ แปลง คิดเป็นพื้นที่รวม ๔๒๕ ไร่ นอกจากนี้ ยังมีการนำาระบบตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability System) มาใช้ เพื่อให้สามารถติดตามแหล่งที่มาของผลผลิตได้อย่างโปร่งใส สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและคู่ค้า

๓. การจัดการข้อมูลด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลโดยนำาระบบออนไลน์ มาใช้ในการจัดเก็บและบริหารข้อมูลการผลิต รวมถึงข้อมูลการตลาด ทำให้สามารถติดตามสถานการณ์ทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากร

Scr

๔. การบริหารทางการเงินที่โปร่งใสและเข้มแข็ง มีการนำระบบ BAAC Corporate Banking ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้การจัดการทางการเงินมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้

๕. มีการระดมหุ้นจากสมาชิก จำนวน ๓๑,๑๓๓ หุ้นคิดเป็นมูลค่ารวม ๓,๑๑๓,๓๐๐ บาท โดยกำหนดสัดส่วนการจัดสรรผลกำไรอย่างชัดเจน ได้แก่ ปันผลให้สมาชิกค่าตอบแทนคณะกรรมการ และกองทุนพัฒนาศักยภาพองค์กร เพื่อรองรับการขยายตัวและพัฒนากลุ่มในอนาคต

Scre

บทบาทและการมีส่วนร่วมของสมาชิกต่อสถาบัน

สมาชิกมีส่วนร่วมในการคิด กำหนดวิสัยทัศน์และวางแผนการดำเนินงานร่วมกัน โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการทุกเดือนเพื่อเสนอแนวคิดและแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของชุมชนและในทุกปีจะมีการประชุมสามัญประจำปีเพื่อทบทวนและปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของสมาชิก ดังนี้

๑. การร่วมกันวิเคราะห์ วางแผนเพื่อแก้ปัญหาในการจัดการการผลิตในแปลง และพยากรณ์โรคและศัตรูพืช โดยจะร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกันและการจัดการเพื่อรักษาคุณภาพผลผลิตและลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติและศัตรูพืช

๒. ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลผลผลิตและข้อมูลทางบัญชีเพื่อกำาหนดแผนการตลาด เพื่อวางแผนการตลาดในปีถัดไป โดยเฉพาะในด้านการทำสัญญากับบริษัทที่รับซื้อผลผลิต การประเมินสภาวะตลาด และการกำหนดราคาขายที่เป็นธรรมและเหมาะสม

Screensh

๓. สมาชิกได้รับการอบรมด้านการผลิตพืชปลอดภัย มาตรฐานการผลิต และการใช้เทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้น้ำและการดูแลรักษาผลผลิตในแปลง เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงและมีมาตรฐานอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นการยกระดับการผลิตให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

๔. ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้าร่วมกิจกรรมและกลายเป็น Young Smart Farmer โดยสนับสนุนให้ลูกหลานของสมาชิกได้เข้าร่วมการอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่มีทักษะในการเกษตรที่ทันสมัย และพัฒนาเป็น “Young Smart Farmer” และ “Smart Farmer” ซึ่งเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการการเกษตรอย่างยั่งยืนและเป็นการสืบทอดกิจการในอนาคต เพื่อให้ชุมชนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

Screenshot 1

ความมั่นคงและฐานะทางเศรษฐกิจของสถาบัน

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนฯ มีหุ้นทั้งหมด ๓๑,๑๓๓ หุ้น มูลค่าหุ้นละ ๑๐๐ บาท ทำให้มีเงินทุนจากหุ้นสมาชิกจำนวน ๓,๑๑๓,๓๐๐ บาท นอกจากนี้ ยังได้รับสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้กลุ่มมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอสำาหรับการดำเนินธุรกิจและการขยายกิจการในอนาคต ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ๓ ปีตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ – ๒๕๖๖ พบว่า แนวโน้มทางธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนฯ มีดังนี้

๑. การเติบโตของรายได้ วิสาหกิจชุมชนฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก ๑.๙๑ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๔ เป็น ๙.๘๓ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๕ และ ๑๑.๖๖ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๖ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิสาหกิจชุมชนฯ มีศักยภาพในการขยายตลาดและเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง

Screenshot 2025 06 01 at 17 31 56

๒. การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นตามรายได้ แต่กำไรสุทธิก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี ๒๕๖๖ กำไรสุทธิสูงถึง ๓๙๘,๕๐๗.๐๙ บาท ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนและการทำตลาดของวิสาหกิจชุมชนฯ

๓. ฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้น วิสาหกิจชุมชนฯมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจากเดิม จำานวน ๓๔๓,๙๕๒.๓๔ บาทในปี ๒๕๖๔ เป็น ๔,๔๔๕,๗๕๔ บาท ในปี ๒๕๖๖ ซึ่งบ่งชี้ว่าวิสาหกิจชุมชนฯ มีการลงทุนเพื่อขยายกิจการและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง

การทำกิจกรรมด้านสาธารณประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

๑. กิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน

-เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของชุมชน เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ที่สนใจในการผลิตไม้ผลปลอดภัยแบบครบวงจร สามารถขยายตลาดไปสู่ Modern Trade

Screenshot 202

-ส่งเสริมการปลูกกล้วยแซมในสวนยางพาราเพื่อเพิ่มรายได้และลดปัญหาผลกระทบจากราคายางที่ผันผวน

-บริจาคกล้าไม้และผลผลิตให้โรงเรียนในพื้นที่

-จัดอบรมเกษตรกรในชุมชน เกี่ยวกับกระบวนการและเทคโนโลยีการผลิต

๒. กิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

-ลดการใช้สารเคมีโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพและน้ำ ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้มากถึง ๑๖,๐๐๐ บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต

-นำเปลือกกล้วยและของเหลือใช้จากการผลิตมาใช้ทำปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ