วันที่ 21 เมษายน 2565 ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายมุน ซึง-ฮย็อน (H.E. Mr. Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (“เกาหลีใต้“) ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ “เกาหลีใต้” ที่มีความใกล้ชิดและมีพลวัตอย่างต่อเนื่องกว่า 60 ปี
แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสองยังคงมีการหารือและแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน รวมถึงมีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่าทั้งสองประเทศจะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกของเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ จะช่วยสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้กว่า 10 ปี ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ ในทุกด้าน
นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังมีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนที่ใกล้ชิด ยาวนาน ชาว “เกาหลีใต้”นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยเป็นอันดับต้น ๆ และชื่นชอบ“อาหารไทย”เป็นอย่างมาก ขณะที่ชาวไทยนิยมเรียนภาษาเกาหลีเป็นอันดับหนึ่ง สะท้อนความผูกพันอันใกล้ชิดระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ดี เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ เห็นว่าทั้งสองประเทศยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะความร่วมมือด้าน “Soft Power” อาหาร และการกีฬา
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยกับเกาหลีใต้มีความร่วมมือทางการทหารที่ใกล้ชิด ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการขยายความร่วมมือไปสู่ด้านอื่น ๆ
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น แม้จะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองประเทศยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโมเดล BCG และอุตสาหกรรมเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนชาวเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นในสาขาที่เกาหลีใต้มีความเชี่ยวชาญ โดยไทยจะดูแลและอำนวยความสะดวกการลงทุน ด้านเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ ยินดีสนับสนุน พร้อมประสงค์ให้ไทยพิจารณาส่งเสริมอุตสาหกรรมเฉพาะด้านที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างชัดเจน และขอให้ไทยพิจารณาให้เกาหลีใต้ตั้งสถาบันการเงินในประเทศด้วย
ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของการส่งเสริม “Soft Power” ของเกาหลีใต้ ซึ่งประเทศไทยก็มีชื่อเสียงเช่นกัน นายกรัฐมนตรีจึงเห็นว่า ทั้งสองประเทศควรพัฒนาความร่วมมือในสาขานี้ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความแข่งแกร่ง พร้อมทั้งยินดีที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายมีความชื่นชอบวัฒนธรรมของกันและกัน จะเป็นสะพานเชื่อมและขยายความร่วมมือไปยังสาขาอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองประเทศสามารถจับคู่วัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของกันและกัน รวมถึงการกีฬาที่ทั้งสองมีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ความร่วมมือภายใต้กรอบอนุภูมิภาคและภูมิภาค นายกฯ ชื่นชมบทบาทที่สร้างสรรค์ของเกาหลีใต้ผ่านกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง – เกาหลีใต้ (Mekong – ROK Cooperation) กรอบ ACMECS และกรอบอาเซียน – เกาหลีใต้ (ASEAN – ROK) ซึ่งไทยพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุน ทั้งด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเศรษฐกิจสีเขียว
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลเกาหลีใต้ชุดใหม่ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และสาธารณสุข พร้อมหวังว่าจะให้การต้อนรับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในโอกาสเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่กรุงเทพฯ
ด้านเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่พร้อมสานต่อความสัมพันธ์ ความร่วมมือ ตลอดจนพร้อมสนับสนุนบทบาทไทยในการจัดการประชุมระดับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปีนี้