วันที่ 19 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กู้ยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร (กองทุนฯ) จำนวน 200 ล้านบาท
2. อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้ อ.ส.ค. กู้ยืมเงินเพื่อไปดำเนินการตามโครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิตของ อ.ส.ค. (โครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ) ทั้งนี้ มีกำหนดชำระคืนภายใน 3 ปี ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ พ.ศ. 2568 – 2571 โดยอนุมัติวงเงินจำนวน 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เพื่อรวบรวมและรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคนมในเขตพื้นที่ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของ อ.ส.ค. ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568

สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กู้ยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร (กองทุนฯ) จำนวน 200 ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนๆ ให้ อ.ส.ค. กู้ยืมเงินเพื่อไปดำเนินการตามโครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิตของ อ.ส.ค. (โครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของ กษ. ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตน้ำนมดิบที่มีอยู่ ทั้งหมดได้ ทำให้มีน้ำนมดิบส่วนที่เหลือและไม่มีแหล่งจำหน่าย จนเกิดปัญหาน้ำดิบล้นตลาด กษ. จึงมอบหมายให้ อ.ส.ค. รับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรส่วนที่เหลือจากข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพิ่มเติม ทั้งนี้ ในการรับซื้อน้ำนมดิบ นั้น อ.ส.ค. ดำเนินการตามมาตรา 7 (2) (ก) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่บัญญัติให้ อ.ส.ค. มีวัตถุประสงค์ในการผลิต ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนและใช้ซึ่งน้ำนมและเนื้อ ผลิตภัณฑ์จากน้ำนมและเนื้อ โคนมและสัตว์อื่นที่ให้น้ำนมและเนื้อ ตลอดจนอาหารสัตว์ น้ำเชื้อเอ็มบริโอ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการผลิตและการตลาดโดยที่ผ่านมา อ.ส.ค. ได้มีการจัดทำ MoU การซื้อขายน้ำนมดิบระหว่าง อ.ส.ค. กับสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม (โดยใช้เงินรายได้ของ อ.ส.ค. เองในการรับซื้อน้ำนมดิบ) เพื่อให้เป็นหลักประกันในการซื้อขายน้ำนมดิบระหว่าง อ.ส.ค. (ผู้ซื้อตาม MoU) กับศูนย์รับน้ำนมโคหรือศูนย์รวบรวม น้ำนมดิบ (สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สมาคม เอกชน และองค์กรของรัฐ) (ผู้ขาย) ซึ่งการจัดทำ MOU ดังกล่าวมีการจัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปีนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
และปัจจุบันอ.ส.ค. มีการรับซื้อน้ำนมดิบ จาก 2 แหล่ง ได้แก่ (1) สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค 5 ภาค (ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือตอนบ่น ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 37 สหกรณ์ (ทั้ง 37 สหกรณ์ดังกล่าวเป็นสหกรณ์ที่ อ.ส.ค. ได้ทำ MoU การซื้อขายน้ำนมดิบด้วย ซึ่งเรื่องที่ กษ. เสนอในครั้งนี้ เป็นการนำเงินจากกองทุนฯ จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อไปรับซื้อ น้ำนมดิบจากทั้ง 37 สหกรณ์ดังกล่าว ตาม MoU และส่วนที่เพิ่มเติมต่างหากจาก MoU) และ (2) ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบของ อ.ส.ค. จำนวน 12 ศูนย์ (สำนักงาน อ.ส.ค.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7 ศูนย์ และสำนักงาน อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 5 ศูนย์) [ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบดังกล่าวเป็นสมาชิกของ อ.ส.ค. ซึ่งสำนักงาน อ.ส.ค. แต่ละภาคจะเป็นผู้บริหารจัดการในการรับซื้อและจ่ายเงินค่าน้ำนมดิบเอง (ไม่มีการทำ MoU)]
2. สำหรับรายละเอียดของโครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ นั้น อ.ส.ค. จะขอ กู้เงินจากกองทุนฯ จำนวน 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เป็นเวลา 3 ปี [พ.ศ. 2568 (ช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม) – 2571] เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการหมุนเวียนสำหรับรวบรวมและรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในเขตพื้นที่ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของ อ.ส.ค. ทั้ง 5 สำนักงานภาค จำนวน 37 สหกรณ์ ซึ่งจะทำให้สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ จำนวน 8,792,000 กิโลกรัม (8,792 ตัน) ต่อ 1 รอบการผลิต [1 ปี มี 5 รอบการผลิต (1 รอบการผลิต คือประมาณ 60 วัน] จำนวนรวม 43,960,000 กิโลกรัม (43,960 ตัน) ต่อปี [รวม 3 ปี เป็นจำนวน 131,880,000 กิโลกรัม (131,880 ตัน)] โดยน้ำนมดิบดังกล่าว อ.ส.ค. จะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นม ยู.เอช.ที. ไทย-เดนมาร์ค (นมวัวแดง) และจัดจำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Modern Trade [เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า สาขาต่าง ๆ (Lotus Big C Tops)) Traditional Trade (เช่น ร้านสหกรณ์ อ.ส.ค. ในภาคต่าง ๆ เอกชนที่เป็นพันธมิตรกับ อ.ส.ค.) และ Export (AEC) (เช่น เมียนมา ลาว) เพื่อนำกลับมาเป็นรายได้ชำระคืนแก่กองทุนฯ ทั้งนี้ ใน 1ปี [น้ำนมดิบ จำนวน 43,960,000 กิโลกรัม (43,960 ตัน) (รวม 5 รอบการผลิต) จะผลิตได้ประมาณ 219.80 ล้านกล่อง หากจำหน่ายได้หมดทุกช่องทาง คาดว่าจะมีรายได้ปีละประมาณ 2,037.55 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วจะคงเหลือ รายได้ปีละ 81.33 ล้านบาท (รวม 3 ปี รายได้รวม 243.99 ล้านบาท) ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะเริ่มนำส่งคืนกองทุนฯ ปี 2569 จำนวน 60 ล้านบาท และปี 2570 และปี 2571 ปีละ 70 ล้านบาท (รวม 3 ปี เป็นจำนวน 200 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม อ.ส.ค. ได้จัดทำแผนการบริหารโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเงินคืนกองทุนฯ การบริหารด้านการตลาดการบริหารจัดการหนี้ การบริหารความเสี่ยง เพื่อให้การดำเนินโครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯเป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถใช้เงินคืนกองทุนฯ ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
3. กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงบประมาณ (สงป.) และคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะให้ความเห็นชอบและอนุมัติตามที่ กษ. เสนอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีความเห็น/ข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้
(1) เรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่มีผลผูกพันทรัพย์สิน หรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ กษ. โดย อ.ส.ค. ต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ (กค.)
(2) กษ. โดย อ.ส.ค. ควรดำเนินแก้ไขปัญหานมทั้งระบบตั้งแต่ การวางแผนการผลิตไปจนถึงการพัฒนาด้านการตลาด เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและเป็นการกระตุ้นยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโคสดแท้จากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย รวมถึงพัฒนา ช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในตลาด และจัดทำแผนการใช้เงินที่เหมาะสมและเป็นไปตามวัตถุประสงค์โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ในทุกมิติ
(3) กษ. ควรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานของ อ.ส.ค. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ เพื่อให้การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงาน ให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบหากประสบปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด




