
นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ประชุมติดตามการดำเนินงานท่าเทียบเรือประมงปัตตานี พร้อมตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการขององค์การสะพานปลา ณ สำนักงานท่าเทียบเรือประมงปัตตานี อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของท่าเทียบเรือดังกล่าว เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ รวมถึงความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาพื้นที่รอบปากน้ำ ซึ่งปี 2568 ได้รับงบประมาณแล้ว จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงาน และวางแผนต่อเนื่องในปี 2569 เพื่อให้การพัฒนาเกิดความต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก เนื่องจากหากขาดความต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ของท่าเรือและการประกอบอาชีพของพี่น้องชาวประมงในพื้นที่

“ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือการนำเรือของประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาซ่อมแซมในพื้นที่ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและอาจต้องหารือในกรณีพิเศษ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการนำเรือออกนอกระบบกว่า 300 ลำ ซึ่งต้องจัดทำข้อมูลให้ชัดเจน รวมถึงเรื่องแรงงานภาคประมงที่ต้องผ่านการอนุญาตจากหลายหน่วยงาน ผมอยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันพิจารณาว่าจะมีแนวทางใดในการลดขั้นตอน หรืออำนวยความสะดวกให้พี่น้องชาวประมงสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้การประกอบอาชีพไม่สะดุด และเกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจประมงโดยรวม” นายอามินทร์ กล่าว

สำหรับท่าเทียบเรือประมงปัตตานีเป็นท่าเรือหลักของภาคใต้ตอนล่าง มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานรากและเป็นศูนย์กลางกิจกรรมประมงทั้งระดับพื้นบ้านและพาณิชย์ สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งจัดตั้งเมื่อปี 2515 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ปัจจุบันมีพื้นที่ 94 ไร่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ท่าเทียบเรือยาว 312 เมตร โรงคัดสัตว์น้ำขนาดกว่า 9,000 ตารางเมตร โรงน้ำแข็งกำลังผลิตวันละ 1,500 ซอง และระบบบำบัดน้ำทิ้งมาตรฐานกรมควบคุมมลพิษ รวมถึงการควบคุมคุณภาพสัตว์น้ำ ตรวจสารฟอร์มาลีน และออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำตามระบบ TFCC ของกรมประมง เพื่อยืนยันการทำประมงถูกกฎหมายและไม่เข้าข่าย IUU Fishing

ทั้งนี้ องค์การสะพานปลายังดำเนินงานโครงการสำคัญในปี 2568 ได้แก่ “โครงการตลาดสินค้าเกษตรท่าเทียบเรือประมงปัตตานี” วงเงินงบประมาณ 5.8 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำในท้องถิ่น คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2568

นายอามินทร์ กล่าวย้ำว่า กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวประมง ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน และจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประมงอย่างยั่งยืน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงสินเชื่อ การควบคุมคุณภาพ และการส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และจะนำข้อเสนอแนะจากพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ไปผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้ชาวประมงมีรายได้ที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเกิดความเข้มแข็งของชุมชนประมงในระยะยาว




