
13 พฤศจิกายน 2568 – ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ อาทิ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ รองปลัดกระทรวงฯ, นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร, นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์, นางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง, นายชัยวัฒน์ โยธคล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และนายปณิธาน มีไชยโย ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เข้าประชุมทวิภาคีกับ ดร.ซุน เหม่ยจวิน รัฐมนตรีว่าการสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) และคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูง ภายหลังการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน–จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) ครั้งที่ 9

การประชุมครั้งนี้เป็นไปในบรรยากาศที่ดี ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการขยายตลาดผลไม้ไทยคุณภาพสู่จีน โดยฝ่ายไทยได้เสนอการเปิดตลาด ผลไม้สดเพิ่มอีก 4 ชนิด ได้แก่ อินทผลัม สละ มะปราง และมะยงชิด เพื่อผลักดันมูลค่าการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนให้สูงกว่า ระดับ 160,000 ล้านบาทต่อปี โดย GACC ได้เดินทางมาตรวจประเมินสวนและโรงคัดบรรจุอินทผลัมและสละในประเทศไทยแล้ว เมื่อวันที่ 5–9 สิงหาคม 2568 คาดว่าจะสามารถเปิดตลาดนำเข้าอินทผลัมและสละสดจากไทยได้ในช่วงต้นปีหน้า ส่วนมะปรางหวานและมะยงชิดสดอยู่ระหว่างขั้นตอนพิจารณา ซึ่งจะสามารถส่งออกได้ในลำดับถัดไป โดยประเมินว่าหากเปิดตลาดได้ครบทั้ง 4 ชนิด เริ่มแรกจะสามารถส่งออกอินทผลัมและสละรวม 3,000 ตัน มูลค่ากว่า 565 ล้านบาทต่อปี และส่งออกมะปรางหวานและมะยงชิดรวม 4,000 ตัน มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี

ในส่วนของ การส่งออกลำไย ร้อยเอกธรรมนัสระบุว่า กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับกรณีการตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินมาตรฐานในลำไยส่งออก โดยกรมวิชาการเกษตรได้หารือทางเทคนิคกับ GACC เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เพื่อหามาตรการแก้ไข ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย เนื่องจากยังไม่เคยมีการวิเคราะห์ปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไยทั้งผล (เนื้อ เมล็ด เปลือก ก้าน) ไม่เกิน 50 ppm มาก่อน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เสนอให้ จีนพิจารณามาตรการช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) โดยให้ตรวจเฉพาะเนื้อผลไม่เกิน 50 ppm ตามพิธีสารปี 2547 ไปพลางก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการค้า พร้อมยืนยันว่าฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวจีนอย่างสูงสุด และพร้อมดำเนินการศึกษาวิจัยร่วมกับจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของจีน

สำหรับ พิธีสารทุเรียนฉบับใหม่ ที่ GACC จัดทำและส่งให้ไทยพิจารณานั้น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงเนื้อหาให้ครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การส่งออก–นำเข้า และการควบคุมคุณภาพ บนพื้นฐานของการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบกฎหมายของทั้งสองประเทศ และ กรมวิชาการเกษตรจะได้ประชุมหารือ และขอความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐเอกชน เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ในรายละเอียดเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบร่วมกันในการเร่งรัด การเชื่อมโยงระบบแลกเปลี่ยนใบรับรองสุขอนามัยพืชแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ePhyto) และ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าเกษตร ควบคุมความเสี่ยง และสร้างความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน โดยตั้งเป้าหมายนำร่องดำเนินการ เชื่อมโยงระบบอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2569 พร้อมจะได้นำเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ( Fruit Board ) ตามที่ Fruit Board ได้ให้แนวทางสนับสนุนระบบการตรวจสอบย้อนกลับผลไม้ของประเทศไว้ (National Fruit Safety Platform)

ในช่วงท้ายของการประชุม นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้หารือกับ นายหวัง อี้หยู อธิบดีกรมกักกันพืชและสัตว์ (GACC) ของจีน และเชิญฝ่ายจีนเดินทางมาตรวจเยี่ยมและประชุมหารือ ถึง ระบบการส่งออกผลไม้ของไทยและการเชื่อมโยงระบบ ePhyto แบบ Point-to-Point รวมถึงระบบตรวจสอบย้อนกลับทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ การหารือประชุมหารือทางเทคนิคและวิชาการ เพื่อศึกษาวิจัยในการแก้ปัญหาสารตกค้างในลำไยส่งออกร่วมกัน โดยไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในเดือน ธันวาคม 2568 หรือมกราคม 2569 ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออก เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนากลไกความร่วมมือด้านสุขอนามัยพืชและความปลอดภัยอาหารระหว่างไทย–จีนในระยะยาว อันจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการขยายตลาดผลไม้ไทยคุณภาพสู่จีนอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้ขอบคุณอธิบดีกรมกักกันพืชและสัตว์ (GACC) ของจีน ในการให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ และยกระดับความร่วมมือ ส่งเสริม ขยายโอกาส และอำนวยความสะดวกการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกันทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น





