ผักกาดหอมหรือที่คนไทยเรานิยมเรียกว่าผักสลัด เพราะมักจะนิยมนำมาทำเป็นเมนูสลัดกันเป็นส่วนใหญ่นั้น เป็นชื่อของผักในกลุ่มที่เราใช้รับประทานใบสด มีทั้งแบบเป็นหัวหลวมๆ และแบบเป็นใบ โดยมีชื่อเรียกตามสีหรือรูปลักษณะของใบ เช่น กรีนโอ๊ค คือผักกาดหอมที่มีใบสีเขียว เรดโอ๊ค คือผักกาดหอมที่ใบออกสีแดงเข้ม, ผักกาดแก้ว จะมีลักษณะเป็นหัวหลวมๆ มีใบกรอบฉ่ำน้ำ สีเขียวใส เป็นต้น
ด้วยความที่เรานิยมรับประทานผักกาดหอมแบบรับประทานสด ไม่ว่าจะนำไปปรุงเป็นสลัดแบบฝรั่งหรือคลุกในยำแบบไทยๆ และนำไปแกล้มลาบ-พล่า ข้าวเกรียบปากหม้อ ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลอดสารพิษต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค ดังนั้น เกษตรกรจึงชอบปลูกแบบอินทรีย์ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผักอาจมีตำหนิบ้าง แต่มั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้เลย

การปลูกผักกาดหอมหรือผักสลัด เป็นผักที่ปลูกค่อนข้างยากเนื่องจากเป็นพืชที่จำเป็นต้องการสารเคมีเป็นจำนวนมาก ต้องดูแลเอาใจใส่ และเนื่องจากผักกาดหอมเป็นผักประเภทลำต้นเตี้ย ทำให้ใบยอดของผักกาดหอมติดกับพื้นดิน จึงง่ายต่อแมลงศัตรูและโรค การปลูกผักกาดหอมหรือผักสลัด เป็นผักที่สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ แต่จะปลูกได้ดีในดินร่วน และเป็นพืชที่ชอบแดดจัด
ขั้นตอนการปลูกผักกาดหอมหรือผักสลัด
1. การเตรียมดิน การปลูกผักกาดหอมหรือผักสลัด สามารถปลูกได้หลายแบบ นิยมปลูกในถุงดินก็ได้ หรือ ปลูกในถาดหลุมก็ได้แล้วแต่จะสะดวก จากนั้นนำดิน ปุ๋ยคอกและขุยมะพร้าว ผสมกันในอัตรา1:1 จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วทิ้งไว้ในที่ร่มเป็นเวลา 7 วัน

2. นำปุ๋ยที่ผสมแล้ว มาใส่ในดินหรือถาดหลุม ให้เต็มแล้วใช้ไม้จิ้มลงกลางหลุมแล้วหยอดเมล็ดผักกาดหอมลงไป1-2 เมล็ด แล้วกลบด้วยดินหรือวัสดุบางๆ จากนั้นรดน้ำแล้วนำไปไว้ในที่ร่มรำไร
3. การรดน้ำ ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ วันละ2ครั้ง เช้าและเย็น
4. เมล็ดผักกาดหอมจะงอกหลังจากหยอดเมล็ดประมาณ 3-5วัน
5. เมื่อครบ7วัน หรือมีใบ3-5ใบ จากนั้นนำถุงดินไปวางที่แดด เพราะผักกาดหอมเป็นพืชที่ชอบแดด
6. เมื่อครบ 40-45 วัน ก็สามารถนำมาจำหน่าย หรือ รับประทานได้เลย

การดูแลรักษา”ผักกาดหอม“
ผักกาดหอม เป็นผักรากตื้น ดังนั้นการให้น้ำจึงควรให้อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ โดยระยะเวลา 2สัปดาห์แรกควรรดน้ำทุกวันเช้า-เย็น โดยพ่นน้ำเป็นละอองเล็กๆเพื่อไม่ให้น้ำชุ่มแฉะมากเกินไป ข้อควรระวังคือไม่ควรรดน้ำไปถูกหัวผักกาดหอมเพราะอาจจะทำให้เน่าได้ ส่วนการใส่ปุ๋ยผักกาดหอม ผักกาดหอมจะใส่ปุ๋ยครั้งเดียวตอนเตรียมดินเท่านั้น
การเก็บเกี่ยวผักกาดหอม
ผักกาดหอมจะเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกได้ประมาณ 40-45วัน ควรตัดทันทีเพราะถ้าผักกาดหอมแก่จะทำให้มีความเหนียวกระด้าง และมีรสชาติขม ไม่น่ารับประทาน และราคายังตกอีกด้วย วิธีตัดผักกาดหอมก็ง่ายๆ โดยใช้มีดตัดตรงโคน แล้วนำไปชุบน้ำเพื่อล้างน้ำยางออก มัดรวมเป็นมัดๆและจัดจำหน่ายต่อไป
ผักกาดหอมหรือผักสลัด เป็นผักที่คนไทยนิยมรับประทานกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผักกาดหอมเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยการขับถ่าย ล้างพิษ หรือช่วยทำให้นอนกลับง่ายขึ้น และยังนิยมมาตกแต่งบนจานอาหารเพื่อความสวยงาม และยังนิยมนำมารับประมาณเป็นสลัดเนื่องจากมีคุณค่าโภชนาการสูง ประกอบด้วย วิตามินบี วิตามินซี ลูเทียน และเบต้าแคโรทีน สรรพคุณช่วยต้านมะเร็งและสารต้านอนุมูลอิสระ
ประเภทหลักของผักกาดหอม
ผักกาดหอมสามารถแบ่งออกเป็นสี่ประเภทหลักตามลักษณะการเจริญเติบโตและรูปร่าง ได้แก่:
- ผักกาดหอมใบ (Loose Leaf): มีใบเจริญเป็นกระจุกหลวมๆ ไม่ห่อเป็นหัว มีหลายสีทั้งเขียวและแดง ใบมักจะนุ่มและเก็บได้ไม่นาน
- ผักกาดหอมห่อ (Crisphead / Iceberg): รู้จักกันในชื่อ “ผักกาดแก้ว” มีลักษณะใบห่อเป็นหัวแน่นคล้ายกะหล่ำปลี มีเนื้อกรอบและรสชาติอ่อน มักใช้เป็นผักรองจานหรือในเบอร์เกอร์
- ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด (Butterhead): มีใบอ่อนนุ่มและผิวมันเล็กน้อย ห่อตัวเป็นหัวหลวมๆ มีรสหวานเล็กน้อยและเนื้อสัมผัสคล้ายเนย
- ผักกาดหอมคอส (Romaine / Cos): มีลักษณะใบยาวตั้งตรงและแข็งกว่าพันธุ์อื่นๆ มักมีรสขมเล็กน้อย เป็นที่นิยมในสลัดซีซาร์
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ผักกาดหอมมีแคลอรีต่ำและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประโยชน์ที่สำคัญบางประการ ได้แก่:
- อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ: เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ วิตามินเค โฟเลต และวิตามินซี ซึ่งช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือด
- ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร: มีใยอาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ: มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ
- บำรุงกระดูกและระบบประสาท: สารอาหารในผักกาดหอมอาจช่วยบำรุงกระดูกและควบคุมการทำงานของหัวใจ เส้นประสาท และกล้ามเนื้อให้เป็นปกติ
ข้อควรระวัง
- ควรล้างผักกาดหอมให้สะอาดก่อนรับประทานสดเพื่อลดความเสี่ยงจากสารพิษตกค้าง และควรเลือกซื้อผักที่สดใหม่เพื่อรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่ดีที่สุด




