
นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก. ในฐานะหน่วยงานด้านสารสนเทศการเกษตร และผู้ปฏิบัติงานในคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ร่วมกับกองที่ดินของรัฐ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ลงพื้นที่อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อตรวจสอบเขตที่ดินของรัฐ จำนวน 2 บริเวณ รวม 31 แปลง 6 ระวาง ระหว่างวันที่ 2–4 ธันวาคม 2568

การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามมาตรการของ คทช. โดยมุ่งเน้น 3 วัตถุประสงค์หลัก คือ (1) หาตำแหน่งและขอบเขตที่ดินของรัฐ (2) ตรวจหาร่องรอยการทำประโยชน์ของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ และ (3) จัดทำฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการที่ดินให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์เกษตร การดำเนินการนี้ไม่ใช่เพียงการสำรวจรังวัดทั่วไป แต่ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญใน “โครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบันด้านที่ดิน” (Institutional Infrastructure) เพื่อสร้างกติกาที่ชัดเจน ลดความไม่แน่นอน และที่สำคัญที่สุดคือการ ลดต้นทุนธุรกรรม (Transaction Costs) ให้กับเกษตรกรและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทำให้ระบบการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรเดินหน้าได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ตรวจสอบได้ และคาดการณ์ผลผลิตได้แม่นยำขึ้น

สำหรับกระบวนการทำงานภาคสนามครั้งนี้ เป็นขั้นตอนสำคัญของการพิสูจน์ทราบในพื้นที่จริง (Ground Truth) เพื่อยืนยันผลอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศเบื้องต้น โดยเน้นความละเอียดรอบคอบ ผ่านการสร้างระวางแผนที่จากภาพถ่ายเก่าให้มีความถูกต้องเชิงตำแหน่งสูง และอ้างอิงภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลังหลายช่วงเวลา เพื่อประกอบการพิสูจน์สิทธิ (อาทิ WWS, VAP-61, น.ส.3 และ LTP) ซึ่งจะนำไปสู่การลดข้อพิพาทแนวเขตที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างยาวนาน

นายพีรพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อแนวเขต/สิทธิ มีความชัดเจน จะช่วยลดความไม่แน่นอนและต้นทุนข้อพิพาทเพิ่มความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมระยะยาวของเกษตรกรในพื้นที่ และทำให้รัฐสามารถบริหารจัดการพื้นที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ความชัดเจนของแปลงที่ดินและฐานข้อมูลเชิงพิกัด ยังเป็นฐานสำคัญ ที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคเกษตรใน 2 มิติสำคัญ ตามกรอบแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตรสมัยใหม่ ได้แก่

1.พัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร (Traceability) การมีพิกัดแปลงที่ชัดเจน (Plot ID) เชื่อมโยงกับทะเบียนเกษตรกร จะทำให้ระบบตรวจสอบย้อนกลับมีความน่าเชื่อถือสูง รู้แหล่งผลิต–ผู้รับผิดชอบ–วิธีการปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธสินค้าจากคู่ค้า และแก้ปัญหาการปนเปื้อนของสินค้าได้อย่างเป็นรูปธรรม

2.ยกระดับสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Product Value: HPV) ความชัดเจนของพื้นที่และระบบตรวจสอบย้อนกลับ เป็นเงื่อนไขสำคัญในการก้าวสู่การผลิตสินค้าเกรดพรีเมียม ช่วยให้เกษตรกรและชุมชนมีโอกาส จับมูลค่าเพิ่ม (Value Capture) ผ่านการขายสินค้าตามคุณภาพและมาตรฐาน แทนการขาย แบบเหมารวม (Commodity) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มผลิตภาพรวม (Total Factor Productivity: TFP) และรายได้สุทธิของเกษตรกรในที่สุด

นอกจากนี้ ฐานข้อมูลที่ดินที่แม่นยำยังช่วยให้รัฐบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Agricultural Zoning) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษา ฐานทรัพยากรการผลิต (Resource Base) และสร้าง ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ของประเทศให้ยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2569 สศก. และ สคทช. มีแผนร่วมกันอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ตรัง และพังงา และจะสำรวจภาคสนามในพื้นที่ส่วนที่เหลือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 เพื่อเร่งขับเคลื่อนให้เกิดฐานข้อมูลที่ดินรัฐที่สมบูรณ์ เป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน




