ข้อควรรู้ ..ก่อนปลูกผักอินทรีย์

การบริโภคผักอินทรีย์มีความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น จากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ อีกทั้งในปัจจุบันโรคภัยมีมากมาย ทำให้คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น การเลือกกินผัก-ผลไม้ ที่ผลิตในระบบอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค ในด้านการผลิตเกษตรกรหันมาสนใจปลูกผักอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในการปลูกผักอินทรีย์นั้น ไม่ใช่สารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ ในทุกขั้นตอนการผลิต ช่วยให้สุขภาพของเกษตรกรดีขึ้น ไม่ต้องเสี่ยงกับการได้รับสารเคมี และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะทั้งทางดิน น้ำ และอากาศ

%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81
ข้อควรรู้ ..ก่อนปลูกผักอินทรีย์

แต่ก่อนที่เราจะเริ่มปลูกผักอินทรีย์ เรามาดูข้อที่ควรรู้และทำความเข้าใจก่อนเริ่มปลูกผักอินทรีย์กัน

1.ข้อกำหนดและมาตรฐานอินทรีย์

ข้อแรกนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เกษตรกรควรรู้ คือ ในปัจจุบันมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยจะมีมาตรฐานที่รับรองโดยกรมวิชาการเกษตร และมาตรฐานต่างประเทศที่นิยม ได้แก่ มาตรฐาน IFOAM ดังนั้นเกษตรกรควรรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ต้องทำและห้ามทำก่อนการขอรับรองเกษตรอินทรีย์

8 ข้อห้ามทำ

-ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด

-ห้ามเผาแปลงเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูก และพื้นที่ต้องไม่เป็นการเปิดป่าชั้นต้น ยกเว้น กรณี เผาเพื่อทำลายการระบาดโรค-แมลงศัตรูพืช

-ห้ามใช้พืช (เมล็ดพันธุ์) สัตว์ และจุลินทรีย์ที่มาจากกระบวนการพันธุวิศวกรรม (GMOs) และห้ามใช้เมล็ดพันธุ์คลุกสารเคมี

-ห้ามใช้ปัสสาวะและอุจาระคน

-ห้ามใช้มูลสัตว์ที่ไม่ผ่านการหมัก

-ห้ามปลูกพืชชนิดเดียวกันในแปลงอินทรีย์และแปลงเคมี (พืชคู่ขนาน)

-ห้ามใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภัณฑ์ และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ที่ไม่ผ่านการอนุญาตจากโครงการ

-ห้ามนำผลิตผลเคมีมาขายเป็นผลิตผลอินทรีย์

9 ข้อต้องทำ

-เกษตรกรต้องสมัครเป็นสมาชิกโครงการ (กรณีเป็นกลุ่มหรือโครงการ)

-เกษตรกรใหม่ต้องเข้าสู่ระยะปรับเปลี่ยน พืชล้มลุก 1 ปี พืชยืนต้น 18 เดือน

-เกษตรกรต้องผ่านการฝึกอบรมทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดในการปลูกพืชอินทรีย์ (กรณีเป็นกลุ่มหรือโครงการ)

-เกษตรกรต้องแยกแปลงปลูกพืชอินทรีย์และแปลงปลูกพืชเคมีให้ชัดเจน

-ต้องทำแนวกันชนในกรณีที่แปลงอินทรีย์ติดกับแปลงเคมี ความกว้างอย่างน้อย 1 เมตร

-เกษตรกรต้องจัดทำปัจจัยการผลิตเพื่อใช้เอง (ช่วยลดต้นทุน)

-เกษตรกรต้องแยกเครื่องมือที่ใช้ในแปลงอินทรีย์กับแปลงเคมี โดยเฉพาะถังพ่น

-เกษตรกรต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที หากต้องการเปลี่ยนแปลงการผลิตเป็นแปลงเคมี

-เกษตรกรต้องจดบันทึกการใช้ปัจจัยการผลิต

2.วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสารชีวภัณฑ์

         

ในการปลูกพืช ปัญหาหลักที่จะต้องเจอก็คือปัญหาโรคและแมลง ซึ่งในการปลูกผักอินทรีย์จะไม่สามารถใช้สารเคมีทุกชนิดในการป้องกันและกำจัดโรคและแมลงได้ จะเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีเป็นสารชีวภัณฑ์ ร่วมกับการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (Integrated Pest Management : IPM) โดยสามารถทำได้ ดังนี้

การเขตกรรม : การดูแลแปลงให้สะอาดอยู่เสมอ ไถพรวนกลับหน้าดินเพื่อทำลายไข่และตัวอ่อนแมลง ใส่โดโลไมท์เพื่อปรับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดิน และปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรโรคและแมลง

– วิธีกล : ใช้กับดักแมลง เช่น กับดักกาวเหนี่ยวจับและทำลายแมลง หนอนภายในแปลง
         

– ใช้พันธุ์พืชที่ต้านทานโรคและแมลง

– ชีววิธี : ใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียน และใช้สารชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดโรคแมลง

โดยสารชีวภัณฑ์ มีดังนี้

พีพี-เมทา ใช้ป้องกันและกำจัด หนอนกินใบ ด้วงงวงมันเทศ เสี้ยนดิน ด้วงหมัดผัก

พีพี-ไตรโค พ่นทางใบป้องกันโรคใบจุด ใบไหม้ ใช้หยอดลงดิน ป้องกันโรครากเน่าจากเชื้อรา

พีพี-สเตร็บโต ใช้ป้องกัน โรครากเน่าจากเชื้อรา Fusarium spp. และ Pythiurm spp.

พีพี-บีเค 33 ใช้ป้องกันโรคราเมล็ดผักกาด โรคราน้ำค้าง โรคใบจุด โรคใบไหม้ โรคเหี่ยวเขียว โรคดอกเน่า โรคผลเน่า

พีพี-บี10 ใช้ป้องกันโรคเหี่ยวเขียวจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstinia solanacearum ในพืชตระกูลพริกและมะเขือ

พีพี-บี15 ใช้ป้องกันโรคผลเน่าจากเชื้อรา Colletotrichum, Aspergillus และ Rhizopus sp. ในพืช เช่น พริก

พีพี-เบ็บ ใช้ป้องกันและกำจัดแมลงหวี่ขาวในมะเขือเทศ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ มอด แมลงค่อมทอง แมลงหางหนีบ

น้ำหมักพีพี 1 ใช้ป้องกันโรคพืชบางชนิดและแมลงปากดูด

น้ำหมักพีพี 2 ใช้ป้องกันและกำจัดหนอนกินใบพืชที่อยู่เหนือดิน

น้ำหมักพีพี 3 ใช้ป้องกันและกำจัดแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไร

น้ำหมักพีพี 6 ใช้ป้องกันและกำจัดด้วงปีกแข็งขนาดเล็ก

สบู่อ่อน 50 ml. ใช้ทดแทนสารจับใบ และ 300 ml. กำจัดเพลี้ยอ่อน

3.การทำปัจจัยการผลิตไว้ใช้เอง

ในการทำเกษตรอินทรีย์ การทำปัจจัยการผลิตไว้ใช้เองเป็นวิธีที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังช่วยให้มั่นใจว่าไม่มีสารเคมีเจือปน ซึ่งปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์ เช่น น้ำหมักสมุนไพร ฮอร์โมนไข่ ปุ๋ยหมัก จะช่วยให้พืชผักโตเร็ว น้ำหนักดี มีคุณภาพ ใบสวยขึ้น เกษตรกรสามารถทำไว้ใช้เองได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก

ยกตัวอย่างวิธีการทำฮอร์โมนไข่ มีดังนี้

-ใช้ไข่ไก่ 5 กก. นำลงไปปั่นพร้อมเปลือกให้ละเอียด

-ชั่งกากน้ำตาล 5 กก. แล้วนำไปผสมกับไข่ไก่ที่ปั่นแล้ว

-ผสมยาคูลท์และแป้งข้าวหมาก แล้วคนให้เข้ากัน

– ปิดฝา ทิ้งไว้ในร่ม 14 วัน สามารถนำไปใช้ได้

อัตราการใช้ 2 ช้อนแกง หรือ 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อบำรุงต้นให้เจริญเติบโตเร็ว ใบสวย มีน้ำหนักผลผลิตดี โดยฉีดพ่นบริเวณลำต้นและใบ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง และสามารถใช้ฉีดพ่นไม้ผลเพื่อกระตุ้นการออกดอก โดยฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม ข้อควรระวัง หากต้นพืชติดดอกแล้ว ห้ามฉีดพ่นโดนดอก จะทำให้ดอกร่วง ควรหลีกเลี่ยงโดยใช้การราดที่โคนต้นแทน

ที่มา :สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)